[ᩅᩮᩣᩉᩣ᩠ᨶᨻᩮᩣᨵᩥᨺᩪᩢᨲᩫ᩠ᨶᩃᩫ / โวหานโพธิผูกต้นแล]
ᨶᨾᩮᩣᨲᩔᨽᨣᩅᨲᩮᩣᩋᩁᩉᨲᩮᩣᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᨾ᩠ᨻᩩᨴ᩠ᨵᩔ ᨻᩩᨴ᩠ᨵᩣᨶᩩᩈᨲᩥᨾᩮᨲ᩠ᨲᩣ ᨧ ᩋᩈᩩᨽᨾᩁᨱᩈᨲᩥ ᩍᨲᩥᨾᩣᨧᨲᩩᩁᩣᩁᨠ᩠ᨡᩣᨽᩥᨠ᩠ᨡᩩᩋᩣᩅᩮᨿ᩠ᨿᩡ ᩈᩥᩃᩅᩣ ᩈᨻ᩠ᨻ
นโมตสฺสภควโตอรหโตสมฺมาสมฺพุทฺธสฺส พุทฺธานุสติเมตฺตา จ อสุภมรณสติ อิติมาจตุรารกฺขาภิกฺขุอาเวยฺยะ สิลวา สพฺพ
ᩣᩈᨻ᩠ᨻᨬ᩠ᨬᩩ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨣᩪᩉᩯ᩠ᨦᨣᩫ᩠ᨶᩃᩫᨴᩮᩅᨯᩣᩍᨶ᩠ᨴᩣᨻᩕᩉᩫ᩠ᨾᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨲᩫ᩠ᨶᨾᩦᨾᩉᩣᨠᩕᩁᩩᨱ᩠ᨱᩣᨻᩮᩨᩬᨧᩢᨿᩫ᩠ᨠᨿᩴᨿᩢ᩠ᨦᩈᨲ᩠ᨲᩃᩰ᩠ᨠᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩉᩲᨻᩫ᩠ᨶᨧᩣᩢᩒᨥ
าสพฺพญฺญุ พระพุทธเจ้าตนเป็นคูแห่งคนแลเทวดาอินทาพรหมทั้งหลาย ตนมีมหากระรุณณาเพื่อจักยกยอยังสัตต์โลกทั้งหลาย ให้พ้นจากโอฆ-
ᩅᨲ᩠ᨲᩈᩫ᩠ᨦᩈᩣ᩠ᨶ ᨠᩯᩅᩮᨶᩮᨿ᩠ᨿᩡᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨧᩦ᩠ᨦᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᩅᩤ ᨻᩩᨴ᩠ᨵᩣᨶᩩᩔᨲᩥᩍᨲᩥᨾᩣᨧᨲᩩᩁᩣᩁᨠ᩠ᨡᩣ ᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦ ᨠᩯᨽᩥᨠ᩠ᨡᩩᨸᩁᩥᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᨯᩢ᩠ᨦ
วัตตสงสาน แก่เวเนยฺยะสัดทั้งหลาย พระพุทธเจ้าจีงเทสสนาว่า พุทฺธานุสฺสติอิติมาจตุรารกฺขา ดังนี้ แก่ภิกขุปริสัดทั้งหลายดัง
ᨶᩦ ᩅᩣ ᨽᩥᨠ᩠ᨡᩅᩮ ᨯᩪᩕᩣᨽᩥᨠ᩠ᨡᩩᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩈ᩠ᩅᩁᩅᩤᨿᩮᩣᨣᩣᩅᨧᩁᨧᩮᩫᩣ ᨲᩫ᩠ᨶᨾᩦᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨸᨠ᩠ᨠᨲᩥᨠᩫ᩠ᩅᨲᩯᩈᩫ᩠ᨦᩈᩣ᩠ᨶᨴᩩᩢᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿ ᨧᩢᨲᩩᨸᩁᩥᩈᩢ᩠ᨯ ᪔ ᨧᩣᩴᨻ᩠ᩅᩢᨯᩢ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨯᨠ᩠ᨯᩦ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᩈᩦ᩠ᨶ ᪕ ᩃᩫᩈᩦ᩠ᨶ ᪘ ᩃᩯᩈᩦ᩠ᨶᩈᩦ᩠ᨷ ᩃᩫᩈᩦ᩠ᨶ
นี้ ว่า ภิกฺขเว ดูราภิกขุทั้งหลาย ส่วนว่าโยคาวจรเจ้า ตนมีผญาอันมีปกฺกติกัวแต่สงสานทุกอันประกอบด้วย จัตุปริสัด ๔ จำพวกดังนั้นก็ดี อันมีสีน ๕ แลสีน ๘ แลสีนสีบ แลสีน
᪒ ᩁᩭᨿᩦᩈᩦ᩠ᨸᨸᩮᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᨶ ᨧᩫ᩠ᨦᩁᩣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᨯᩩᨿᩢ᩠ᨦᨠᨾ᩠ᨾᨭ᩠ᨮᩣ᩠ᨶᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᪔ ᩋᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶᨯᩱᨩᩨ᩠ᩅᩣᩁᩢᨠ᩠ᩈᩣᩈᩦ᩠ᨶ ᪔ ᩋᩢ᩠ᨶ ᩃᩫᨾᩦᩋᩫ᩠ᨦᨣᩈᩦ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᨣᩨ᩠ᩅᩣᩁᩣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᨳᩮᩥ᩠ᨦᨣᩩᩁ ᩉᩯ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩋᩢ᩠ᨶ᪑ᨾᩮᨲ᩠ᨲᩣᨧᨣᩨᩉᩨᨹᩯᩁᩢ᩠ᨠᨾᩱᨲᩦᨸᩱ
๒ ร้อยยี่สีบเป็นต้น จงรำเพิงดุยังกมฺมฏฺฐานทั้งหลาย ๔ อันดังอันได้ชื่อว่ารักสาสีน ๔ อัน แลมีองค์สีนนั้นคือว่ารำเพิงเถิงคุน แห่งพระพุทธเจ้าอัน ๑ เมตตาจคือหื้อแผ่รักไมตีไป
ᨠᩯᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᩉᩲᨸᩮᩢ᩠ᨶᨣᩩᩁᩃᩯᨸᩕᨿᩮᩣᨩᩡᨠᩯᨲᩫ᩠ᨶᨠᩯᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨹᩩᩢᩅᩮᩢ᩠ᨶᩅᩱᨠᩯᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᨠ᩠ᨯᩦ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᩉᩲᩉᩣ᩠ᨿᨿᩢ᩠ᨦᩅᩮᩢ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨴᩣ᩠ᨶᨹᩪᩢᩅᩮᩢ᩠ᨶᨠᩯᨲᩫ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᩃᩯ ᩋᩈᩩ
แก่สัดทั้งหลาย อันให้เป็นคุนแลประโยชะแก่ตนแก่สัดทั้งหลาย อันผุกเวนไว้แก่สัดทั้งหลายก็ดี คือว่าให้หายยังเวนอันท่านผูกเวนแก่ตนนั้นแล อสุ-
ᨽᩴ ᩋᩢ᩠ᨶ ᪑ ᩉᩲᩁᩣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᨳᩮᩥ᩠ᨦᨿᩢ᩠ᨦᩈᩮᩣᨣᩰ᩠ᨠ ᪓᪒ ᨾᩦᨠᩮᩈᩣᩃᩮᩣᨾᩣᨶᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᨶ ᨴ᩠ᨿ᩠ᨶᨿᩬᨾᨲᩮᩢ᩠ᨾᨸᩱ ᨶᩲᨲᩫ᩠ᨶᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᩃᩫᨾᩁᨱᩣᨶᩩᩔᨲᩥ ᩋᩢ᩠ᨶ ᪑ ᩉᩲᩁᩣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᨳᩮᩥ᩠ᨦᨿᩢ᩠ᨦ
ภํ อัน ๑ ให้รำเพิงเถิงยังโสโคก ๓๒ มีเกสาโลมานั้นเป็นต้น เที้ยรย่อมเต็มไป ในตนทั้งมวน แลมรณานุสฺสติ อัน ๑ ให้รำเพิงเถิงยัง
ᨲᩫ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨧᩢᨲᩣ᩠ᨿᨣᩴᩉᩣᨴᩦᩉᩖᩦᨠᨸᩴᨯᩱᨶᩢ᩠ᨶ ᩁᩦᨧᩲᨩᩦᩅᩦ᩠ᨯᩉᩯ᩠ᨦᨣᩪᨶᩦ ᨧᩢᨻᩫ᩠ᨶᨿᩣ᩠ᨾᨶᩦᨣᩨ᩠ᨶᨶᩦᨯᩢ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩁᩪᨯᩱ ᨣᩴᨻᩮᩨᩬᩉᩲᨧᩣᩴᩁᩮᩥ᩠ᨶᨿᩢ᩠ᨦᩋᨶᩥᨧᩣᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩉ᩠ᨾᩢᩁᨸᩴᨴ᩠ᨿᩙᩁᩪᨸᩦ᩠ᨶᨸᩯᨸᩱ᩠ᨾᩣ ᩋᨶᨶ᩠ᨲᩣᩅᩥᨭ᩠ᨮᩣᩁᨣᩩᨱᩴ ᨣᩩᨱᨲᩮᩣ
ตนอันจักตายก็หาที่หลีกบ่ได้นั้น อันว่าใจชีวิดแห่งคูนี้ จักพ้นยามนี้คืนนี้ดังอันบ่รู้ได้ ก็เพื่อให้จำเรินยังอนิจาอันบ่หมั้นบ่เที่ยงรู้ปีนแปไปมา อนนฺตาวิฏฺฐารคุณํ คุณโต-
ᨶᩩᩔᩁᩴᨾᩩᨱᩥᨽᩣᩅᩮᨿ᩠ᨿᩡ ᨻᩩᨴ᩠ᨵᩥᨾᩣᨽᩥᨠ᩠ᨡᩩᨻᩩᨴ᩠ᨵᩣᨶᩩᩔᨲᩥ ᨾᩣᨴᩥᨲᩮᩣᨽᩥᨠ᩠ᨡᩅᩮ ᨯᩪᩕᩣᨽᩥᨠ᩠ᨡᩩᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩁᩦᨿᩮᩣᨣᩣᩅᩣᨧᩁᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨠᩫ᩠ᩅᨲᩯᨽᩱ᩠ᨿᩡᩋᩫ᩠ᨶᨲᩣ᩠ᨿᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᨶᩲᩅᨲ᩠ᨲᩈᩫ᩠ᨦᩈᩣ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨸᩕ᩠ᨿᩣ
นุสฺสรํมุณิภาเวยฺยะ พุทฺธิมาภิกฺขุพุทฺธานุสฺสติ มาทิโตภิกฺขเว ดูราภิกขุทั้งหลาย อันว่าโยคาวาจรเจ้าตนอันกัวแต่ไภยะอนตายทั้งมวน ในวัตตสงสานอันประกอบด้วยผญา
ᨾᩣᩢᨶᩢ᩠ᨠ ᨧᩫ᩠ᨦᩁᩣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᨳᩮᩥ᩠ᨦᨣᩩᩁᩉᩯ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨣᩩᩁᩋᩢ᩠ᨶᨠ᩠ᩅᩣ᩠ᨦᨡ᩠ᩅᩣ᩠ᨦᨾᩣᩢᨶᩢ᩠ᨠᨶᩢ᩠ᨹᨸᩴᨯᩱ ᩈᩮ᩠ᨾᩥᨯᩢ᩠ᨦᩋᩣᨠᩣ᩠ᨯᩋᩢ᩠ᨶᩉᩣᨴᩦᩈᩩᨯᨸᩴᨯᩱᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩉ᩠ᨾᩩᨣᩩᩁᩋᩢ᩠ᨶᨾᩣᩢᨶᩢ᩠ᨠᩉᩯ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶ
มากนัก จงรำเพิงเถิงคุนแห่งพระพุทธเจ้าตนประกอบด้วยคุนอันกว้างขวางมากนักนับบ่ได้ เสมอดังอากาดอันหาที่สุดบ่ได้ด้วยหมู่คุนอันมากนักแห่งพระพุทธเจ้าตน
ᨶᩢ᩠ᨶᩓ ᨿᩢ᩠ᨦᩈᨲᩥᨠᨾ᩠ᨾᨭ᩠ᨮᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨣᩩᩁᩉᩯ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨸᩮᩢ᩠ᨶᩋᩣᩁᨾ᩠ᨾᨱᨻᩮᩥ᩠ᨦᨧᩣᩴᩁᩮᩥ᩠ᨶᨧᩲᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦᨣᩴᨾᩦᩓ ᩈᩅᩤᩈᨶᩮᨠᩥᩃᩮᩈᩮᩈᩮᩣᩑᨠᩮᩣᩈᨻ᩠ᨻᩮᨶᩥᨥᩣᨿᩋᩉᩩᩈᩩ
นั้นแล ยังสติกัมมัฏฐาน อันมีคุนแห่งพระพุทธเจ้าเป็นอารมฺมณเพิงจำเรินใจดังนี้ก็มีแล สวาสเนกิเลเสโสเอโกสพฺเพนิฆายอหุสุ
ᩈᩩᨴ᩠ᨵᩔᨶ᩠ᨲᩣᨶᩴᨸᩩᨩᩣᨶᨬ᩠ᨧᩈᨴ᩠ᨵᩣᩁᩉᩮᩣ ᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦ ᨽᨣᩅᩤ ᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣ ᨲᩫ᩠ᨶᨾᩣ᩠ᨦᩈᩮᩢ᩠ᨿᨿᩢ᩠ᨦᨸᩣᨸᨵᨾ᩠ᨾᨶᩢ᩠ᨶ ᨲᩫ᩠ᨶᨯ᩠ᨿᩅᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᩈᩮᩥ᩠ᨯᨿᩦ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨠ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᩅᨱ᩠ᨱᩴᩈᨱ᩠ᨮᩣ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨿᩦ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨠᩉᩮᩢ᩠ᨯᨩᩣᩴᩃᩈᩮᩢ᩠ᨿᨿᩢ᩠ᨦᨾᩃᨾᩨ᩠ᨦᨴᩨ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨶ
สุทฺธสฺสนฺตานํปุชานญฺจสทฺธารโห ดังนี้ ภควา อันว่าพระพุทธเจ้า ตนม้างเสียยังปาปธัมม์นั้น ตนเดียวอันประเสิดยี่งนัก อันมีวัณณํสัณฐานอันยี่งนักเหดชำละเสียยังมละมืงทืงนั้น
ᨣᩨ᩠ᩅᩣᨠᩥᩃᩮᩢ᩠ᨯᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩉᩖᩴᩈᩢ᩠ᨠᩋᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨥᩣᨭᩥᨿ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣ ᨣᩴᨡᩣᩈᩮᩢ᩠ᨿᨿᩢ᩠ᨦᨠᩥᩃᩮᩢ᩠ᨯᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᩋᩢ᩠ᨶᨯᩱᨻᩢ᩠ᨶ᪕ᩁᩭᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᩁᩣᨣᨴᩮᩣᩈᨾᩮᩣᩉᨾᩣᨱᨸᩮᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᨶᩅᩣ ᩈᩅᩣᩈᨶᩮᩋᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨠᩢ᩠ᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩅᩣᩔ᩠ᨶᩣᩃᩫᨴᩰ᩠ᨯ
คือว่ากิเลดอันบ่หลอสักอันแล ฆาฏิย พระพุทธเจ้า ก็ข้าเสียยังกิเลดทั้งมวน อันได้พัน ๕ ร้อยอันมีราคะโทสะโมหะมาณะเป็นต้นว่า สวาสเน อันเป็นกับด้วยวาสฺสนาแลโทด
ᨠᩖᩣ᩠ᩅᨣᩨ᩠ᩅᩣᨠᩣᨿ᩠ᨿᩅᨧᩦ ᩋᩢ᩠ᨶᨧᩣᩴᩁᩮᩥ᩠ᨶᨧᩲᩉᩯ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨠᨸᩣ᩠ᨯᨧᩮᩫᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩋᩁᩉᨲ᩠ᨲᨾᨣ᩠ᨣᨬᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨣ᩠ᩅᩁᨸᩩᨩᩣᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨣᩮᩥ᩠ᨦᨸᩩᨩᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢᩋᩢ᩠ᨶᩅᩦᩈᩮᩢ᩠ᨯᨶᩲᨠᩣ᩠ᩃᩡᨴᩩᩢᨾᩮᩬᩃᩫᨠᩥᩃᩮᩢ᩠ᨯᨻᩢ᩠ᨶ᪕
กล่าวคือว่ากายฺยวจี อันจำเรินใจแห่งนักปาดเจ้าทั้งหลายด้วยอรหัตตมัคคญาน อันควรปุชาด้วยเคิ่งปุชาทั้งหลายอันวีเสดในกาละทุกเมื่อแล กิเลดพัน ๕
ᩁᩭᨶᩢ᩠ᨶᨯᩱᩋᩢ᩠ᨶᨯᩲᨧᩣ ᨯᩱᩋᩢ᩠ᨶᨩᩣᩴᩃᩈᩮᩢ᩠ᨿᩋᨠᩩᩔᨧᩥᨲ᩠ᨲᨸᩣ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᪑᪒ ᩃᩪᩢᨶᩢ᩠ᨶᩃᩯ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᩃᩮᩣᨽᨧᩦ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᪘ ᩃᩪᩢᨶᩢ᩠ᨶ ᨴᩮᩣᩔᨧᩦ᩠ᨯ ᪒ ᩃᩩᩢ ᨾᩮᩣᩉᩡᨧᩦ᩠ᨯ ᪒ ᩃᩩᩢᩃᩫ ᩈ᩠ᩅᩁᩁᩦᩋ
ร้อยนั้นได้อันใดจา ได้อันชำละเสียอกุสสจิตต์ปาดทั้งหลาย ๑๒ ลูกนั้นแล คือว่าโลภจีดทั้งหลาย ๘ ลูกนั้น โทสฺสจีด ๒ ลุก โมหะจีด ๒ ลุกแล ส่วนอันว่าอ-
ᨠᩩᩔᩃᨧᩦ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᪑᪒ ᩃᩪᩢᨶᩦ ᨴ᩠ᨿᩁᨿᩬᨾᨸᩕᨠᩬᨸᨸᩱᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩁᩣᨣᨠᩥᩃᩮᩔᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨾᩦᨸᩕᩉ᩠ᨾᩣ᩠ᨶᩅᩤᨯᩱᨻᩢ᩠ᨶ᪕ᩁᩭᩃᩯ ᩈᨻ᩠ᨻᨠᩣᩁᨣᨲᩮᨵᨾ᩠ᨾᩮᩈᨻ᩠ᨻᩮᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᨿᩴᨾᩩᨶᩣ ᩈᨻ᩠ᨻᨠᩣᩁᩮᨶᨻᩩᨩᩥᨲ᩠ᩅᩣ ᩑᨠᩮᩣᩈᨻ᩠ᨻ
กุสฺสลจีดทั้งหลาย ๑๒ ลูกนี้ เที้ยรย่อมประกอบไปด้วยราคกิเลสส์ทั้งหลาย มีประหมานว่าได้พัน ๕ ร้อยแล สพฺพการคเตธมฺเมสพฺเพสมฺมาสยํมุนา สพฺพกาเรนพุชิตฺวา เอโกสพฺพ-
ᨬᩪᨲᩴᨣᨲᩮᩣ ᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᨿᩮᨿ᩠ᨿᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᨻᩩᨩᩥᨲ᩠ᩅᩣᩁᩪᩃᩫ᩠ᩅ ᨿᩢ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᩈᩮᩥ᩠ᨯᨠᩖᩣ᩠ᩅᨣᩨ᩠ᩅᩣᨧᩥᨲ᩠ᨲᨧᩮᨲᩈᩦ᩠ᨠᩃᩫ ᨶᩥᨾᩥᨲ᩠ᨲᨧᩮᨲᩈᩦ᩠ᨯᩃᩫ ᨶᩥᨾᨲ᩠ᨲᩁ᩠ᨷᩪᨸᩃᨻ᩠ᨡᨱᩁ᩠ᨷᩪᨶᩥᨠ᩠ᨻᩣ
ญฺญูตํคโต อันว่าพระพุทธเจ้าตนรู้ยังเยยฺยธัมม์ทั้งมวน พุชิตฺวารู้แล้ว ยังธัมม์ทั้งหลาย อันประเสิดกล่าวคือว่าจิตตเจตสีกแล นิมิตตเจตสีดแล นิมัตตรูปปลักขณะรูปนิพพา-
ᨶᨸᨬᨲ᩠ᨲᩥ ᩈᨻ᩠ᨻᨠᩣᩁᨣᨲᩮ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨶᩲᨠᩣ᩠ᩃᩡ ᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᩋᩢ᩠ᨶᨠᩖᩣ᩠ᩅᨣᩨ᩠ᩅᩣᩋᩢ᩠ᨶᩃ᩠ᩅᨦᩃᩯ᩠ᩅᨠ᩠ᨯᩦᨠᩣ᩠ᩃᩡᩋᩢ᩠ᨶᨧᩡᨾᩣᨻᩣ᩠ᨿᩉ᩠ᨶᩣᨶᩢ᩠ᨶᨠ᩠ᨯᩦ ᩃᩯᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᨾᩣᩁᩬᨯᨴᩮᩥᩬᨠ᩠ᨯᩦᨯ᩠᩠ᩅ᩠ᨿᩈᨠ᩠ᨻᨬᩪᨲ
นปัญญัตติ สพฺพการคเต อันเป็นในกาละ ทั้งมวนอันกล่าวคือว่าอันล่วงแล้วก็ดีกาละอันจะมาพายหน้านั้นก็ดี แลอันบ่มารอดเทือก็ดีด้วยสัพพัญญูต-
ᨬᩣ᩠ᨶᩉᩯ᩠ᨦᨲ᩠ᨶᩫᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩁᩪᨹᩯᨹ᩠ᩅᩁ ᩋᩢ᩠ᨶᨲᩢ᩠ᨯᩈᨻ᩠ᨻᨬᩩᨲᨬᩣ᩠ᨶᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᨾ᩠ᨻᩩᨴᩮᩤ ᩋᩉᩩᨣᩴᩉᩣᩢᨾᩦᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦ ᩅᩥᨸᩔ᩠ᨶᩣᨴᩥ ᩅᩥᨩᩣᩉᩥᩈᩥᩃᩣᨴᩥᨧᩁᨱᩉᩥᨧᩈᩩᩈᨾᩥᨴ᩠ᨵᩮᩉᩥᩈ
ญานแห่งตนด้วยอันบ่รู้แผผวน อันตัดสัพพัญญุตญานสัมมาสัมพุโท อหุก็หากมีดังนี้ วิปัสสนาทิ วิชาหิสิลาทิจรณหิจสุสมิทฺเธหิส-
ᨾ᩠ᨸᨶᩮᩣ᩠ᨶᨣᨣᨶᩣᨠᩮᩉᩥᨶᩣᨿᨠᩮᩣᨴᩯ᩠ᩃᩫ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢᨲ᩠ᨶᩫᨯᩲᨠ᩠ᨯᩦ ᨣᩢ᩠ᨶᩅᩣᨯᩱᨲᩢ᩠ᨯᩈᨻ᩠ᨻᨬᩩᨲᨬᩣ᩠ᨶᨠᩣ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨻᩕᩃᩫ᩠ᩅᨯᩢ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲ᩠ᨶᩫᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩴᨴ᩠ᨿᩁᨿᩬᨾᨸᩭᨿᩢ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᩋᩬᩢᨧᩣᩢᩈᩫ᩠ᨦᩣ᩠ᨶ ᩉᩲᨻᩫ᩠ᨶᨿᩢ᩠ᨦ
มฺปนฺโนคคนาเกหินายโกแท้แล พระพุทธเจ้าทั้งหลายตนใดก็ดี คั้นว่าได้ตัดสัพพัญญุตญานกานอันเป็นพระแล้วดังอันพระพุทธเจ้าตนนั้น ก็เที้ยรย่อมป่อยยังสัดทั้งหลายออกจากสงสาน ให้พ้นยัง
ᨿᩢ᩠ᨦᨴᩩᩢᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᩉᩲᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᩈᩩᩢᨡᩮᩫᩣᩈᩩᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨯᩱᨩᩣ᩠ᩅ ᪔ ᩋᩈ᩠ᨦᩫᨡᩱᨸᩣ᩠ᨿᩈᩯ᩠ᨶᨾᩉᩣᨠᩢ᩠ᨷᨸᩖᩣ᩠ᨿ ᪖ ᩃᩣ᩠ᨶᨠᩰ᩠ᨯᨸᩖᩣ᩠ᨿᩈᩯ᩠ᨶᨠᩰ᩠ᨯᨴᩩᩢᨲ᩠ᨶᩫᨯᩦᩉᩖᩦᨯᩣ᩠ᨿ ᨻᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᩈᨻ᩠ᨻᨬᩩᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶ ᨲᩯᨯᩯ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣ
ยังทุกทั้งมวน ให้ได้เถิงสุกเข้าสู่นีพพาน อันได้ซาว ๔ อสงไขปายแสนมหากัปปลาย ๖ ล้านโกดปลายแสนโกดทุกตนดีหลีดาย พันดังสัพพัญญุพระพุทธเจ้าตนนั้น แต่แดงอันพระพุทธเจ้า
ᨲᩢ᩠ᨯᨿᩢ᩠ᨦᩈᨻ᩠ᨻᨬᩩᨸᩮᩢ᩠ᨶᨻᩕᩃᩯ᩠ᩅ ᨣᩴᨾᩣᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨧᩦ᩠ᨦᨯᩱᨸᩭᩈᩢ᩠ᨯᩋᩬᩢᨧᩣᩢᩈᩫ᩠ᨦᩣ᩠ᨶ ᩉᩲᨡᩮᩫᩣᩈᩪᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶ ᨯᩱᨩᩣ᩠ᩅ ᪔ ᩋᩈᩫ᩠ᨦᨡᩱᨸ᩠ᩃᩣ᩠ᨿ ᪖ ᩈᩯ᩠ᨶ ᪖ ᩃᩣ᩠ᨶ ᪘ ᨻᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᩅᩈᩢ᩠ᨯ
ตัดยังสัพพัญญูเป็นพระแล้ว ก็มานีพพานนั้นพระพุทธเจ้าจีงได้ป่อยสัดออกจากสงสาน ให้เข้าสู่นีพพาน ได้ซาว ๔ อสงไขปลาย ๖ แสน ๖ ล้าน ๘ พันตัวสัด
ᩉᩢ᩠ᨶᩃᩯᩅᩮᨶᩮᨿ᩠ᨿᩈᩢ᩠ᨯᩋᩢ᩠ᨶᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨿᩫ᩠ᨠᩋᩬᩢᨸᩴᨴᩢ᩠ᨶᩈ᩠ᨿᩙᨿᩢ᩠ᨦᩉᩖᩴᨲᩯᩋᩢ᩠ᨶᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣ ᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩃᩫ᩠ᩅᨾᩣᨲᩣᨳᩮᩥ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶᨩᩩᨾᨶᩩᨾᨵᩤ᩠ᨯᨻᩣ᩠ᨿᩉ᩠ᨶᩣᨶᩢ᩠ᨶ ᨿᩢ᩠ᨦ ᪔ ᩋᩈᩫ᩠ᨦᨡᩱᨸ᩠ᩃᩣ᩠ᨿᩈᩬᨦ
หั้นแลเวเนยฺยสัดอันพระพุทธเจ้ายกออกบ่ทันเสี่ยงยังหลอแต่อันพระพุทธเจ้า นีพพานแล้วมาตาเถิงอันชุมนุมธาดพายหน้านั้น ยัง ๔ อสงไขปลายสอง
ᩃᩣ᩠ᨶ ᪔ ᩈᩯ᩠ᨶ ᪘ ᩉᩮᩨ᩠ᨾᩁ ᪓ ᨻᩢ᩠ᨶᨠᩰ᩠ᨯᨲᩫ᩠ᩅᩈᩢ᩠ᨯᩃᩯᩉᩮᩢ᩠ᨯᩅᩤ ᩍᨶᩕᩦ᩠ᨴᩉᩯ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨺᩪᨦᨶᩢ᩠ᨶᨸᩴᨠᩯᩃᩫ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨣᩴᩅᩱᩈᩣᩔ᩠ᨶᩣ ᪕ ᨻᩢ᩠ᨶᩅᩔᩣ ᨻᩮᩥᩬᨧᩢᨳᩨᩏᩫᩣᩈᩢ᩠ᨯᨺᩪᨦᨶᩢ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨿᩢ᩠ᨦᩉᩖᩴᩉᩲᨯᩱᨻᩕᩬᨾᨯᩢ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨩᩪᨲᩫ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶ
ล้าน ๔ แสน ๘ เหมิ่น ๓ พันโกดตัวสัดแลเหดว่า อินทรีแห่งสัดทั้งหลาย ฝูงนั้นบ่แก่แล พระพุทธเจ้าก็ไว้สาสสนา ๕ พันวัสสา เพื่อจักถือเอาสัดฝูงนั้นอันยังหลอให้ได้พร้อมดังพระพุทธเจ้าซู่ตนนั้น
ᩃᩫ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩅᩥᨸᩔᨶᩣᨴᩥᩅᩥᨩᩣᩉᩥᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨸᩕ᩠ᨿᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᪘ ᩋᩢ᩠ᨶ ᨸᩮᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤᩅᩥᨸᩔᨶᩣᨬᩣᨱᩈᩥᩃᩣᨴᩥᨧᩁᨱᩉᩥᨧᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨻᩦᨧᩣᩁᨱᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᪑᪕ ᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤᩈᩥᩃᩈᩴᩅᩁ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬ
แล พระพุทธเจ้าตนอันประกอบด้วยวิปัสสนาทิวิชาหิด้วยผญาทั้งหลาย ๘ อัน เป็นต้นว่าวิปัสสนาญาณสิลาทิจรณหิจด้วยพีจารณาทั้งหลาย ๑๕ มีต้นว่าสิลสํวร อันประกอ-
ᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨣᩩᩁᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨷᨸᩴᨯᩱ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩁᩥᩈᩩᨴ᩠ᨵᩥᨯᩦᨶᩢ᩠ᨠ ᨣᨣᨱᩮᩉᩥᩋᩢ᩠ᨶᩈᩮ᩠ᨾᩥᨯᩢ᩠ᨦᨯᩣ᩠ᩅᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨶᩲᩋᩣᨠᩣ᩠ᨯ ᩋᩢ᩠ᨶᩉᩣᨴᩦᨧᩢᩈᩩᨯᨸᩴᨯᩱᨶᩢ᩠ᨶᨯᩦᩉᩖᩦᩃᩫ ᨿᩈ᩠ᨾᩣᩉᩮᩢ᩠ᨯᨯᩲᨲᩈ᩠ᨾᩣᩉᩮᩢ᩠ᨯᨯᩢ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶ
บด้วยคุนทั้งหลาย อันนับบ่ได้ อันบริสุทธิดีนัก คคเณหิอันเสมอดังดาวอันมีในอากาด อันหาที่จักสุดบ่ได้นั้นดีหลีแล ยสฺมาเหดใดตสฺมาเหดดังอัน
ᩅᩥᨩᩣᨧᩁᨱᩈᨾ᩠ᨷᨶ᩠ᨶᩮᩣᨶᩣᨾᨩᩨ᩠ᩅᩣᩅᩥᨩᩣᨧᩁᨱᩈᨾ᩠ᨷᨶ᩠ᨶᩮᩣᩋᩉᩩᨣ᩠ᨾᩦᩃᩫ ᨸᩕ᩠ᨿᩣ ᪘ ᩋᩢ᩠ᨶᨺᩩᨦᨯᩲᨧᩣᩅᩥᨸᩔᨶᩣᨬᨱᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᩁᩣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩈᩘᨡᩣᩁᨵᨾ᩠ᨾᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨶᩲᨲᩫ᩠ᨶᨴᩢ᩠ᨦ
วิชาจรณสมฺปนฺโนนามชื่อว่าวิชาจรณสมฺปนฺโนอหุก็มีแล ผญา ๘ อันฝูงใดจาวิปัสสนาญณผญาอันรู้รำเพิงรู้ยังสังขารธัมม์อันมีในตนทั้ง
ᨾ᩠ᩅᩁᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩉ᩠ᨾᩁᩢᨸᩴᨴ᩠ᨿᩙᩈᩢ᩠ᨠᩋᩢ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨾᨶᩮᩣᨾᨿᩥᨴ᩠ᨵᩥᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩉᩲᩃᩫ᩠ᩅ ᨯᩢ᩠ᨦᨧᩲᨾᩢ᩠ᨠᨩᩪᩋᩢ᩠ᨶᩓ ᩍᨴ᩠ᨵᩥᩅᩥᨴ᩠ᨵᩥᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᨠ᩠ᨴᩣᩴᩍᨴ᩠ᨵᩥᩁᩦᨴ᩠ᨵᩦᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤ ᨹᩪᩢᨯ᩠ᨿᩅᩉᩲᨸᩮᩢ᩠ᨶᨾᩣᩢᩉᩖᩣ᩠ᨿᩋᩢ᩠ᨶ ᪑ ᨴᩦ᩠ᨷᨻ᩠ᨻᩈᩮᩣᨲᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣ
มวนอันบ่หมั้นบ่เที่ยงสักอันนั้นแล มโนมยิทฺธิญาณํผญาอันให้แล้ว ดังใจมักซู่อันแล อิทฺธิวิทฺธิญาณํผญาอันกะทำอิทธิรีทฺธีมีต้นว่า ผูกเดียวให้เป็นมากหลายอัน ๑ ทีปพฺพโสตญาณํผญา
ᩋᩢ᩠ᨶᩋᩣ᩠ᨯᨻᩮᩥ᩠ᨦᩁᩪᨧᩯ᩠ᨦᨿᩢ᩠ᨦᩈᨻ᩠ᨻᩣᩅᩉᩲᩁᩪᨧᩯ᩠ᨦᨻᩫ᩠ᨶᩅᩦᩈᩱᩈᩮᩣᨲᩣᩅᩥᨬᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶ ᪑ ᨧᩮᨲᩮᩣᨸᩁᩥᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᨻᩮᩥᩬᩁᩪᨧᩲᩉᩯ᩠ᨦᨸᩩᨣ᩠ᩃᩡᨺᩪᨦᩋᩨ᩠ᨶᩃᩫ ᩋᩢ᩠ᨶ ᪑ ᨸᩩᨻ᩠ᨻᩮᨶᩥᩅᩤᩈᩣᨶᩩᩔᨲᩥᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣ ᩋᩢ᩠ᨶᩋᩣ᩠ᨯᨻᩮᩨᩬᩁᨶᩨ᩠ᨠᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩈ
อันอาดเพิงรู้แจ้งยังสัพพาวะให้รู้แจ้งพ้นวีไสโสตาวิญญาน อัน ๑ เจโตปริญาณํผญาเพื่อรู้ใจแห่งปุคละฝูงอื่นแล อัน ๑ ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติญาณํผญา อันอาดเพื่อรนึกรู้ยังส-
ᨽᩣᩅᩋᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᨶᨯᩱᩀᩪᨯᩱᨠᩦ᩠ᨶᨲᩯᨶᩲᨠᩣ᩠ᩃᩡᨾᩮᩨᩬᨠᩬᩁᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᩋᩢ᩠ᨶ ᪑ ᨴᩥᨻ᩠ᨻᨧᨠ᩠ᨡᩩᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩋᩣ᩠ᨯᩉᩢ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨶᩲᨴᩦᨠᩱᩖᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤᨶᩬᩢᨧᩣᩢᨧᩢᨠ᩠ᨠᩅᩤ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶ ᪑ ᩋᩣᩈᩅᨠ᩠ᨡᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᨠ᩠ᨴᩣᩴᨿᩢ᩠ᨦᩋ
ภาวะอันตนได้อยู่ได้กีนแต่ในกาละเมื่อก่อนนั้นแล อัน ๑ ทิพฺพจกฺขุญาณํผญาอันอาดหัน อันมีในที่ไกลมีต้นว่านอกจากจักกวานอัน ๑ อาสวกฺขญาณํผญาอันกะทำยังอ-
ᩈᩅᨵᨾ᩠ᨾᨴ᩠ᩃᩣᩢᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᩈᩕᩩᨸᨿᩢ᩠ᨦᨸᩕ᩠ᨿᩣ ᪘ ᨯ᩠ᩅᩙᨺᩪᨦᨶᩦᩃᩫᨧᩁᨱ ᪑᪕ ᨶᩢ᩠ᨶ ᨺᩩᨦᨯᩲᨧᩣᩈᩥᩃᩈᩴᩅᩃᩮᩣᨸᨭᩥᨾᩮᩣᨠ᩠ᨡᩈᩴᩅᩁᩈᩦ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨠ᩠ᨴᩣᩴᨠᩣᩴᨧᩢ᩠ᨯᩈᩮᩢ᩠ᨿᨿᩢ᩠ᨦᨴᩩᩢᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᩋᩢ᩠ᨶ ᪑ ᩍᨶᩕ᩠ᨴᩥᨿ
สวธัมม์ทั้งหลายนั้นแล สรุปยังผญา ๘ ดวงฝูงนี้แลจรณ ๑๕ นั้น ฝูงใดจาสิลสํวโลปฏิโมกฺขสํวรสีน อันกะทำกำจัดเสียยังทุกทั้งมวน อัน ๑ อินทริย-
ᩈᩴᩅᩁᩈᩦ᩠ᨶ ᪑ ᩏᨸ᩠ᨸᩮᨠ᩠ᨡᩣᩈᩴᩅᩁᩈᩦ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩉᩖᩢᨸᨸᩴᨶᩬᩁᩃᩫᨾᩦᩋᩁᨾ᩠ᨾᨱᨸᩮᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᨶ ᩁᩪᨸ᩠ᨷᩣᩁᨾ᩠ᨾᨱᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᩣᨠᩫ᩠ᨯᨶᩲᨴ᩠ᩅᩣ᩠ᨶᨴᩢ᩠ᨦ ᪖ ᩋᩢ᩠ᨶᨽᩮᩣᨩᨶᨾᨲᨬᩩᨲᩣᩈᨽᩣᩅ ᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᨸᩕᩉ᩠ᨾᩣ᩠ᨶᨶᩲᨽᩮᩣᨩᩡᩋᩣᩉᩣ᩠ᨶᨣᩨ᩠ᩅᩣ
สํวรสีน ๑ อุปฺเปกฺขาสํวรสีน อันบ่หลับบ่นอนแลมีอรัมมณ์เป็นต้น รูปฺปารมฺมณอันปรากดในทวานทั้ง ๖ อันโภชนมตญฺญุตาสภาวะ อันรู้ยังประหมานในโภชะอาหานคือว่า
ᨻᩦᨧᩣᩁᨱᩣᨯᩪᩃᩫ᩠ᩅ ᨧᩦ᩠ᨦᨸᩴᩁᩥᨽᩮᩣᨣᨩᩣᨣᩁᩥᨭᨶᩩᨿᩮᩣᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩉᩖᩢᨸᨸᩴᨶᩬᩁᩃᩫ ᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨾᩮᨲ᩠ᨲᩣᨽᩣᩅᨶ᩠ᨶᩣ ᩋᩢ᩠ᨶ ᪑ ᨾᩦᨧᩲᩋᩢ᩠ᨶᩈᩲᨦᩣ᩠ᨾᩉᩮ᩠ᨾᩨᩁᨯᩢ᩠ᨦᨣᩣᩴᩋᩢ᩠ᨶᨩᩮ᩠ᨾᩥᨶᩲᨸᩣᩢᨸᩮᩫᩣ ᩉᩥᩁᩥᨾᩥᨸᨠ᩠ᨠᨲᩥᩋᩢ᩠ᨶᩃᩋᩣ᩠ᨿᨲᩯᨷᩣ᩠ᨸ
พีจารณาดูแล้ว จีงปอริโภคชาคริฏนุโยอันบ่หลับบ่นอนแล ประกอบด้วยเมตตาภาวนฺนา อัน ๑ มีใจอันใสงามเหมือนดังคำอันเซมอในปากเป่า หิริมีปกฺกติอันละอายแต่บาป
ᩒᨲ᩠ᨲᨸ᩠ᨸᩋᩢ᩠ᨶᩈᨯᩩᨦᨠᩫ᩠ᩅᨲᩯᨸᩣ᩠ᨷᨵᨾ᩠ᨾᩅᩥᩁᩥᨿᨣᩭᨠ᩠ᨴᩣᩴᨻ᩠ᨿ᩠ᨶ ᨩᩨᨯᩦᨶᩢ᩠ᨠ ᩉᩲᨾᩦᩈᨲᩥ᩠ᨲᨸᩕ᩠ᨿᩣᨸᨬᩣ ᩏᨸ᩠ᨸᨾᩣᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨠᩯ᩠ᩅᩅᨩᩥᩁᨻᩮᩢ᩠ᨯᨶᩢ᩠ᨶᨣᩴᨾᩦᩃᩫ ᨧᩁᨱ ᪑᪕ ᨶᩢ᩠ᨶᨣᩨᩈᨾᩣᨣᨲᩮᩣᩈᩪ
โอตฺตปฺปอันสดุ้งกัวแต่ปาปธัมม์วิริยะคอยกะทำเพียร ชื่อดีนัก ให้มีสตฺติผญาปัญญา อุปฺปมาเป็นดังแก้ววชิรเพ็ดนั้นก็มีแล จรณ ๑๕ นั้นคือสมาคโตสุ
ᨽᨱ᩠ᨮᩣᨶᩴᩋᨾᩮᩣᨥᩣᩅᨧᨶᩮᩣᨧᩈᩮᩣ ᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨣᩣᩴᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᨸᩮᩖᩫᩣᨧᩮᩫᩣ ᨣᩴᨠᩖᩣ᩠ᩅᩅᩤᩋᩢ᩠ᨶᨯᩲᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨣᩴᨸᩴᩁᨸ᩠ᩅᩁᨾ᩠ᩅᩁᨲᩣ᩠ᨾᨣᩣᩋᩢ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩴᨴ᩠ᨿᩁᨿᩬᨾᨻᩫ᩠ᨶᨧᩣᩢᨴᩪᩢ
ภณฺฐานํอโมฆาวจโนจโส อันว่าพระพุทธเจ้าตนอันมีคำอันบ่เปล่าเจ้า ก็กล่าวว่าอันใดสัดทั้งหลาย ก็บอรบวนมวนตามคําอันนั้น ก็เที้ยรย่อมพ้นจากทูก
ᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᨣᨲᩮᩣᨣᩴᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᩈᩩᨽᨱ᩠ᨮᩣᨶᩴᨿᩢ᩠ᨦᨴᩦᩋᩢ᩠ᨶᨦᩣ᩠ᨾᨠᩖᩣ᩠ᩅᨣᩨ᩠ᩅᩣᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩃᩫ
ᩉᩮᩢ᩠ᨯᩅᩤᨸᩴᨯᩱᨳᩨᩏᩫᩣᨿᩢ᩠ᨦᩁᩣᨣᨸᩮᩢ᩠ᨶᩏᨷ᩠ᨷᨶᩦᨾᩦ᩠ᨯᨣᩨᩈᨾ᩠ᨷᨲᩥ᩠ᨲᨶᩲᨴᩮᩅᩃᩰ᩠ᨠᨸᩮᩢ᩠ᨶᩋᩣᩁᨾ᩠ᨾᨱᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᨿᩢ᩠ᨦᩋᩁᩉᨶ᩠ᨲᩣᩃᩫᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᨯ᩠ᩅᩙᨶᩦᨸᩕ
ทั้งมวน คโตก็ได้เถิงสุภณฺฐานํยังที่อันงามกล่าวคือว่านีพพานแล
เหดว่าบ่ได้ถือเอายังราคะเป็นอุปปนีมีดคือสัมปัตติในเทวโลกเป็นอารัมมณ์ได้เถิงยังอรหันตาแลนีพพานดวงนี้ประ-
ᨸᩕᨠᩫ᩠ᨯᨩᩨ᩠ᩅᩣᩈᩩᨬᨲ᩠ᨲᨾᩮᩣᨠ᩠ᨡᨶᩥᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩃᩫ ᩉᩮᩢ᩠ᨯᨸᩴᨯᩱᨳᩨᩏᩫᩣᨿᩢ᩠ᨦᩁᩣᨣᨴᩮᩣᩈᨾᩮᩣᩉᨾᩣᨶᨲᩥᨭ᩠ᨮᩦᨸᩮᩢ᩠ᨶᩋᩣᩁᨾ᩠ᨾᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨲᩥᩅᩥᨴ᩠ᨵᩔᩣᨸᩥᩃᩮᩣᨠᩔᨿᩣᨲᩣᨶᩥᩁᩅᩈᩮᩈᨲ᩠ᨲᩮᩣᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨣᩴᨲᩢ᩠ᨯᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩃᩰ᩠ᨠᨴ᩠ᩃᩣᩢᨾᩦ ᪓ ᨸᩕ
ปรากฏชื่อว่าสุญฺญตฺตโมกฺขนิพพานแล เหดบ่ได้ถือเอายังราคะโทสะโมหะมานะติฏฺฐีเป็นอารมนั้นแล ติวิทฺธสฺสาปิโลกสฺสยาตานิรวเสสตฺโตอันว่าพระพุทธเจ้าก็ตัดรู้ยังโลกทั้งหลายมี ๓ ประ-
ᨠᩣ᩠ᨶᨣᩨᩈᨲ᩠ᨲᩃᩰ᩠ᨠᩃᩫ ᩒᨠᩣᩈᩃᩰ᩠ᨠᩈᩘᨡᩣᩁᩃᩰ᩠ᨠᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩈᩮᩔᩉᩖᩴᩈᩢ᩠ᨦᨧᩢᩋᩢ᩠ᨶ ᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨸᩕ᩠ᨿᩣᩉᩯ᩠ᨦᨲᩫ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᩉᩣᨴᩦᩈᩩᨯᨸᩴᨯᩱᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩣᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩋᩣᨩ᩠ᨫᩣᩈᩱᨧᩲᩉᩯ᩠ᨦᨴᩣ᩠ᨶᨹᩪᩋᩨ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ
การคือสัตต์โลกแล โอกาสโลกสังขารโลกด้วยอันบ่เสสส์หลอสังจักอัน ด้วยผญาแห่งตนอันหาที่สุดบ่ได้มีต้นว่าผญาอันรู้ยังอาชฌาไสใจแห่งท่านผู้อื่นนั้นแล
ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩉᩖᩦᨦᩉᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦ ᩋᨿᩴᨸᨩᩣᩁᩦᩉ᩠ᨾᩪᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨸᩩᩁᩈᩫᨾ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᨠᩯᨠᩣᨣᩢ᩠ᨶᩅᩤᨯᩱᨼᩢ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᨣᩴᨧᩢᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᩅᩦᩈᩮᩢ᩠ᨯᨶᩢ᩠ᨶ ᨶᩲᨾᩮᩨᩬᩃᩯ᩠ᩅᨵᨾ᩠ᨾᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᨶᩢ᩠ᨶᨩ᩠ᩃᩫ ᨾᨩ᩠ᨫᩥᨾᨾᩥᩍ
พระพุทธเจ้าหลีงเห็นดังนี้ อยํปชาอันว่าหมู่สัดทั้งหลาย อันมีบุนสมพานแก่ก้าคั้นว่าได้ฟังธัมมเทสสนาก็จักได้เถิงธัมม์วีเสดนั้น ในเมื่อแล้วธัมมเทสสนานั้นชะแล มัชฌิมมิอิ-
ᨶ᩠ᨴᩕᩦᩁᩦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨸᩣ᩠ᨦᨻᩬᩙᨣᩴᨾᩦᨷᩩᩁᩈᩫᨾ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᨻᩴᨸᩕᩉ᩠ᨾᩣ᩠ᨶᨣᩢ᩠ᨶᩅᩣᨯᩱᨼᩢ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᩃᩫ᩠ᩅ ᨧᩣᩴᩁᩮᩥ᩠ᨶᨽᩣᩅᨶ᩠ᨶᩣᨳᩯ᩠ᨾᩃᩮᩫᩣᨣᩴᨧᩢᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᨴᩦᩃᩫ᩠ᩅ ᨿᩢ᩠ᨦᨣᩩᩁᩅᩦᩈᩮᩢ᩠ᨯᨶᩲᩈᩣᩔ᩠ᨶᩣᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨩ᩠ᩃᩫ ᨾᩩᨶ᩠ᨴᩕᩦᩁᩦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨺᩪᨦᨯᩲᨾᩦᨸᩩᨬᩈᩫᨾ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᨸᩴᨠᩯ
-นทรี อันว่าสัดทั้งหลาย บางพ่องก็มีบุญสมพานพอประหมานคั้นว่าได้ฟังธัมมเทสสนาแล้ว จำเรินภาวันนาแถมเล่าก็จักได้เถิงที่แล้ว ยังคุนวีเสดในสาสนาพระพุทธเจ้าชะแล มุนทรีอันว่าสัดทั้งหลายฝูงใดมีบุญสมพานบ่แก่
ᨣᩢ᩠ᨶᩅᩤᨯᩱᨼᩢ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᨣᩴᨧᩢᨯᩱᨿᩢ᩠ᨦᩏᨸ᩠ᨸᨶᩥᩈᩱᨸᨧᩱᨣᩣᩴᨩᩪᨣᩴᨧᩢᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᩅᩦᩈᩮᩢ᩠ᨯᨩᩬᩙᩉ᩠ᨶᩣᩉᩯ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨧᩢᨾᩣᨻᩣ᩠ᨿᩉ᩠ᨶᩣᨶᩢ᩠ᨶᨩ᩠ᩃᩫ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩃᩮᩢ᩠ᨦᩉᩮᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨿᩢ᩠ᨦᩉᩮᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᪓ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᨶᩦᩃᩫ᩠ᩅ ᨧᩦ᩠ᨦᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣ
คั้นว่าได้ฟังธัมมเทสสนาก็จักได้ยังอุปปนิไสปไจค้ำชูก็จักได้เถิงธัมม์วีเสดช่องหน้าแห่งพระพุทธเจ้าตนจักมาพายหน้านั้นชะแล พระพุทธเจ้าเล็งเห็นแล ยังเหดทั้งหลาย ๓ ประการนี้แล้ว จีงเทสสนา
ᨲᩣ᩠ᨾᩅᩦᩈᩱᩉᩯ᩠ᨦᨸᩕᩁᩥᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᩃᩫ ᩋᨶᩮᨠᩮᩉᩥᨣᩩᨶᩮᩣ ᨥᩮᩉᩥᩈᨻ᩠ᨻᩈᨲ᩠ᨲᩩᨲᨾᩮᩣᩋᩉᩩ ᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᩏᨯᩫ᩠ᨾᨿᩦ᩠ᨦᨠ᩠ᩅᩣᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩣ ᨴᩣ᩠ᩅᨻᩕ᩠ᨿᩣᩍᨶ᩠ᨴᩣᨻᩕᩉᩫ᩠ᨾᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩉ᩠ᨾᩪ
ตามวีไสแห่งประริสัดทั้งหลายแล อเนเกหิคุโน เฆหิสพฺพสตฺตุตโมอหุ อันว่าพระพุทธเจ้าตนอุดมยี่งกว่าสัดทั้งหลายมีต้นว่าท้าวพระยาอินทาพรหมทั้งหลายด้วยหมู่
ᨣᩩᩁᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩣ ᨠᩁᨬᩣᨱᩴᨣᩅᩮᩈᩣᩁᨩᩣᨬᩣᨱᩈᩥᩃᩫ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨸᩕᩈᩮᩥ᩠ᨯᨠ᩠ᩅᩣᨣᩫ᩠ᨶᩃᩫᨴᩮᩅᨯᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨸᩩᩁᩋᩢ᩠ᨶᨿᩦ᩠ᨦᨠ᩠ᩅᩣᩈᩩᨴ᩠ᨵᩈᩣᩁᨣᩬᩁᩋᩢ᩠ᨶᨡᩣᩴᨡᩮᩥ᩠ᨠᨿᩮᩥ᩠ᨠᨲᩦᨼᩬᨦ
คุนมีต้นว่า กรญาณํคเวสารชาญาณสิแล พระพุทธเจ้าประเสริฐกว่าคนแลเทวดาทั้งหลาย ด้วยบุนอันยิ่งกว่าสุทธสารคอนอันขำเขิกเยิกตีฟอง
ᨶᩬᩙᨻᩪᩙᨡᩨ᩠ᨶᨶᩲᩋᩣᨸᩴᩋᩣ᩠ᨯᨶᩢ᩠ᨷᨯᩱᨿᩢ᩠ᨦᨣᩩᩁᩉᩯ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣ ᩋᨶᨶ᩠ᨲᩋᨸ᩠ᨸᩁᩥᨾᩣᨶᩣᨸᩴᩋᩣ᩠ᨯᨧᩢᨶᩢ᩠ᨷᨯᩱᨲᨳᩣᨣᩴᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨼᩬᨦᨶᩣᩴᩈᨾᩩᨴ᩠ᨵᨶᩢ᩠ᨶᩃᩯ ᨠᩃᩖᨬᩣᩈᩦ᩠ᨷᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶ ᨺᩪᨦᨯᩲᨧᩣ ᨩᩣᨶᩴᨮᩣᨶᩮᨬᩣᨱᩴ
นองพู่งขื้นในอา(กาด)บ่อาดนับได้ยังคุนแห่งพระพุทธเจ้า อนนฺตอปฺปริมานาบ่อาดจักนับได้ตถาก็เป็นดังฟองน้ำสมุทธนั้นแล กัลลญาสีบประการนั้น ฝูงใดจา ชานํฐาเนญาณํ
ᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᩉᩮᩢ᩠ᨯᨠᨾ᩠ᨾᩅᩦᨸᩣᩢ ᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩅᩦᨸᩣᩢᩉᩯ᩠ᨦᨠᨾ᩠ᨾᩋᩢ᩠ᨶᨻᩫ᩠ᨶᨸᩱᩃᩫ᩠ᩅ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᨾᩦᨴᩮᩥᩬᨠ᩠ᨯᩦ ᩋᩢ᩠ᨶᨹᩫ᩠ᨦᨾᩦᨯᩢ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶᨠ᩠ᨯᩦᨸᨭᩥᨸᨴᩣᨿᨬᩣᨱᩴ ᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᨸᩫ᩠ᩅᩁᨸᩢ᩠ᨯᨸᩱᨶᩲᨽᩣᩅᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᩋᨶᩮᨠᨵᩤᨲᩩᨶᩣᨶᩣᨬᩣ
ผญาอันรู้เหดกัมม์วีบาก ญาณํผญาอันรู้ยังวีบากแห่งกัมม์อันพ้นไปแล้ว อันบ่มีเทือก็ดี อันผงมีดังอันก็ดีปฏิปทายญาณํ ผญาอันบ่ป่วนปัดไปในภาวะทั้งมวน อเนกธาตุนานาญา-
ᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᨽᩣᩅᩃᩰ᩠ᨠᨠᩕᨵᩣ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᨲᩣ᩠ᨦᪧ ᩋᨵᩥᨾᩩᨲ᩠ᨲᩥᨠᨲᩮᨬᩣᨱᩴ ᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩋᨩ᩠ᨫᩣᩈᩱᨧᩲᩉᩯ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩍᨶ᩠ᨴᩕᩥᨿᨸᩁᩥᨿᨲᩮᨬᩣᨱᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᨽᩣ
-ณังผญาอันรู้ยังภาวะโลกกระธาดทั้งหลายต่าง ๆ อธิมุตฺติกเตญาณํ ผญาอันรู้ยังอัชฌาไสใจแห่งสัดทั้งหลาย อินทรียปริยเตญาณผญาอันรู้ยังภา-
ᩅᩋᩢ᩠ᨶᨳᩭᩃᩯᩋᩢ᩠ᨶᨿᩦ᩠ᨦᩉᩯ᩠ᨦᩍᨶ᩠ᨴᩕᩦᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤᨸᩕ᩠ᨿᩣᩉᩯ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨫᩣᨶᩅᩥᨠ᩠ᨡᩈᨾᩣᨸᨭᩥᨬᩣᨱᩴ ᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶᩉ᩠ᨾᩁᩢᩋᩢ᩠ᨶᨣᩫ᩠ᨦᩃᩫᨸᩴᩁᩥᩈᩩᨯᩉᩯ᩠ᨦᨫᩣ᩠ᨶᩃᩫ ᩅᩥᨾᩮᩣᨠ᩠ᨡᩈᨾ᩠ᨾᩣᨴ᩠ᨵᩥᩈᨾ᩠ᨾᩣ
-วะอันถอยแลอันยี่งแห่งอินทรีมีต้นว่าผญาแห่งสัดทั้งหลาย ฌานวิกฺขสมาปฏิญาณํ ผญาอันรู้ยังอันหมั้นอันคงแลบอริสุดแห่งฌานแล วิโมกฺขสมฺมาทฺธิสมฺมา-
ᨸᨲᩥᩃᩯᨸᩩᨻ᩠ᨻᩮᨶᩥᩅᩣᩈᩣᨶᩩᩔᨲᩥᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩋᩣ᩠ᨯᨻᩮᩨᩬᩁᨶᩨ᩠ᨠᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩈᨽᩣᩅᩋᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᨶᨯᩱᩀᩪᩃᩫ᩠ᩅᨾᩮᩥᩬᨠᩬᩁ ᨧᩩᨲ᩠ᨲᩥᨸᨸᩤᩉᨬᩣᨱᩴ ᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶᨲᩣ᩠ᨿᩃᩯᨠᩮᩥ᩠ᨯᩉᩯ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩣᩈᩅᨠ᩠ᨡᨿᨬᩣᨱᩴ ᨸᩕ᩠ᨿᩣ
-ปติแลปุพฺเพนิวาสานุสฺสติญาณํผญาอันอาดเพื่อระนึกรู้ยังสภาวะอันตนได้อยู่แล้วเมื่อก่อน จุตฺติปปาหญาณํ ผญาอันรู้ยังอันตายแลเกิดแห่งสัดทั้งหลาย อาสวกฺขยญาณํ ผญา
ᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩈ᩠ᨿᩙᩈᩩᨯᩉᩯ᩠ᨦᩋᩣᩈᩅᩉᩯ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᨶᩣᩴᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᩋᩬᩢᨧᩣᩢ ᩈᩘᩈᩣᩁᨴᩩᩢᩃᩫᩋᨶᩮᨠᩉᩥᩏᨸ᩠ᨸᩉᩥᨶᩁᨴᨾᩮᨶᨵᨾ᩠ᨾᩮᩉᩥ ᩈᩣᩅᨱ᩠ᨱᨶᩣ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨣᩩᨠᩯᩃᩫᨴᩮᩅᨯᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢᨴ᩠ᩃᩣᩢᨴ᩠ᨿ᩠ᨶ
อันรู้ยังเสียงสุดแห่งอาสวะแห่งสัดทั้งหลาย คือว่านำสัดทั้งหลายออกจาก สังสารทุกแลอเนกหิอุปฺปหินรทเมนธมฺเมหิ สาวณฺณนา พระพุทธเจ้าตนเป็นคุแก่แลเทวดาทั้งหลายทั้งหลายเที้ยร-
ᨿᩬᨾᩈᩢ᩠ᨦᩈᩬᩁᨿᩢ᩠ᨦᨣᩫ᩠ᨶᨴ᩠ᩃᩣᩢᩉᩲᩌᩪᩌᩦ᩠ᨯᨣᩬᨦᩋᩢ᩠ᨶᨯᩦ ᨸ᩠ᨿᨸᨯᩢ᩠ᨦᨶᩣ᩠ᨿᩈᩣᩁᨳᩦᩈᩬᩁᨾᩣᩉᩲᩉᩮᩣᩡᩃᩯ᩠ᨶᨩᩣᩴᨯᩦ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩈᩬᩁᨿᩢ᩠ᨦᨹᩪᨧᩲᨿᩣ᩠ᨷᨫᩣᨠᩣᨡᩯ᩠ᨦᨸᩴᨼᩢ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣ
-ย่อมสั่งสอนยังคนทั้งหลายให้ฮู้ฮีดคองอันดี เปียบดังนายสารถีสอนม้าให้เหาะแล่นชำดี คือว่าพระพุทธเจ้าสอนยังผู้ใจยาบฌ้าก้าแขงบ่ฟังธัมมเทสสนา
ᨠᩣᨡᩯ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨠ ᩈᩢ᩠ᨯᨲᩫ᩠ᩅᨯᩲᨸᩴᨠᩖᩣᨻᩬᩴᨸᩕᩉ᩠ᨾᩣ᩠ᨶᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨣᩴᩈᩬᩁᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨾᨫᩦᨾᩣᨸᨭᩥᨸᩣᨴᩣ ᩈᩢ᩠ᨯᨲᩫ᩠ᩅᨯᩲᩃᩯᩡᨾᩦᨧᩲᩋᩢ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᩬᩁᨾᩩᩪᨴ᩠ᨵᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨣᩴᩈᩬᩁᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨵᨾ᩠ᨾᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣ
ก้าแขงนัก สัดตัวใดบ่กล้าพอประหมานพระพุทธเจ้าก็สอนด้วยมฌีมาปฏิปาทา สัดตัวใดและมีใจอันอันอ่อนมูทธพระพุทธเจ้าก็สอนด้วยธัมมเทสสนา
ᩋᩢ᩠ᨶᩋᩬᩁᩈᩪᨡᩪᨾ᩠ᨾᩣ᩠ᨶᨲᩣ᩠ᨾᩋᨩ᩠ᨫᩣᩈᩱᨧᩲᩉᩯ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᩃᩫ ᩑᨠᩮᩣᩈᨻ᩠ᨻᩈᩃᩮᩣᨠᩔᩈᨻ᩠ᨻᩋᨭ᩠ᨮᩣᨶᩩᩔᩣᩈᨠᩮᩣ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨾᩢ᩠ᨠᨸᩕᩣᨳ᩠ᨶᩣᨻᩮᩥᩬᩉᩲᨸᩮᩢ᩠ᨶᨸᩕᨿᩮᩣᨩᩡᨠᩯᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᩈᩮᩥ᩠ᨯ
อันอ่อนสูขูมมานตามอัชฌาไสใจแห่งสัดทั้งหลายแล เอโกสพฺพสโลกสฺสสพฺพอฏฺฐานุสฺสาสโก พระพุทธเจ้าตนมักปราถนาเพื่อให้เป็นประโยชะแก่สัดทั้งหลาย ด้วยอันประเสิด
ᨿᩦ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨠ ᩈᨻ᩠ᨻᩋᨭ᩠ᨮᩣᨶᩩᩈᩣᩈᨠᩮᩣᨴ᩠ᨿ᩠ᨶᨿᩬᨾᨠ᩠ᨴᩣᩴᩈᩢ᩠ᨦᩈᩬᩁᩉᩲᨸᩮᩢ᩠ᨶᨸᩕᨿᩮᩣᨩᩡᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᩋᩢ᩠ᨶᩏᨯᩫ᩠ᨾ ᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩣᨴᩣᨶᩈᩥᩃᩉᩯ᩠ᨦᩈᨲ᩠ᨲᩃᩰ᩠ᨠᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨲᩢ᩠ᨦᨲᩯᩈᩯ᩠ᨶᨠᩰ᩠ᨯᨧᩢᨠ᩠ᨠᩅᩤ᩠ᨶᨴᩮᩫᩣᨾᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨯ᩠ᨿᩅ
ยี่งนัก สพฺพอฏฺฐานุสาสโกเที้ยรย่อมกะทำสั่งสอนให้เป็นประโยชะทั้งมวนอันอุดม มีต้นว่าทานสิลแห่งสตฺตโลกทั้งหลาย ตั้งแต่แสนโกดจักกวานเท่ามีพระพุทธเจ้าตนเดียว
ᨴ᩠ᨿ᩠ᨶᨿᩬᨾᨶᩣᩴᩈᩢ᩠ᨯᨡᩣ᩠ᨾᨻᩫ᩠ᨶᨧᩣᩢᨸᩕᩣᩋᩢ᩠ᨶᨠ᩠ᩅᩣ᩠ᨦᨡ᩠ᩅᩣ᩠ᨦᩃᩫᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈ᩠ᨿ᩠ᨶᩉ᩠ᨶᩣ᩠ᨾᨸᩮᩢ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨾᩣᩢᨯᩢ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᩁᩣᨣᨴᩮᩣᩈᨾᩮᩣᩉᨾᨶᨴᩦᨭ᩠ᨮᩦᩏᩫᩣᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨿᩣ᩠ᨶᨠᩯ᩠ᩅᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᩈᩮᩥ᩠ᨯᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩨᩋᩁᩥᨿᨾᨣ᩠ᨣ
เที้ยรย่อมนำสัดข้ามพ้นจากปราอันกว้างขวางแลประกอบด้วยเสี้ยนหนามเป็นอันมากดังนั้น คือว่าราคะโทสะโมหะมนะทีฏฐีเอาด้วยยานแก้วอันประเสิดนั้น คืออริยมคฺค-
ᨾᨬᩣ᩠ᨶᩃᩫᩋᩁᩉᨶ᩠ᨲᩣᨾᨸᨣ᩠ᨣᨬᩣ᩠ᨶᩉᩮᩢ᩠ᨯᩅᩤᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᩅᩤᨴᩥᨭ᩠ᨮᩦᨠᩘᨡᩣᨶᩩᨴᩋᩣᨴᩥᨠᩣᨾᨴᩮᩣᩈᩣᨶᩩᨲᩁᨸᩁᨶ᩠ᨲᩮᩣᨴᩩᨧ᩠ᨨᩮᨴᩋᨶ᩠ᨲᩈᩮᩈᩣᨣᨱᩣᩈᨱᩴᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦ ᨠᩖᩣ᩠ᩅ
-มญานแลอรหนฺตามปคฺคญานเหดว่าพระพุทธเจ้าเทสสนาว่าทิฏฺฐีกงฺขานุทอาทิกามโทสานุตรปรนฺโตทุจฺเฉทอนฺตเสสาคณาสณํดังนี้ กล่าว-
ᨣᩨ᩠ᩅᩣᩈᩮᩣᨯᩣᨾᨣ᩠ᨣ ᨲᩢ᩠ᨯᨠᩥᩃᩮᩢ᩠ᨯᩈ᩠ᨿᩙᩈᩮᩢ᩠ᨿ ᪓ ᩁᩭ ᩈᨠᩥᨴᩣᨣᩣᨾᨣ᩠ᨣᨴᩮᩫᩣᨻᩴᩉᩲᨶᩭᨸᩣ᩠ᨦᩈᩮᩢ᩠ᨿᩉᩯ᩠ᨦᩁᩣᨣᨴᩮᩣᩈ ᩋᨶᩣᨣᩣᨾᩥᨾᨣ᩠ᨣᨲᩢ᩠ᨯᨡᩣ᩠ᨯᩈ᩠ᨿᩙ ᪓ ᩁᩭ ᩋᩁᩉᨶ᩠ᨲᩣᨾᨣ᩠ᨣᨲᩢ᩠ᨯᨡᩣ᩠ᨯᨸᩯ᩠ᩈᩁᩭᨴ᩠ᩃᩣᩢᨾ᩠ᩅᩁᨸᩮᩢ᩠ᨶᨻᩢ᩠ᨶ ᪕ ᩁᩭ ᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᩋᩁᩥ
คือว่าโสดามัคค์ ตัดกิเลดเสี่ยงเสีย ๓ ร้อย สกิทาคามัคค์เท่าพอให้น้อยบางเสียแห่งราคะโทสะ อนาคามิมัคค์ตัดขาดเสี่ยง ๓ ร้อย อรหันตามัคค์ตัดขาดแปสร้อยทั้งหลายมวนเป็นพัน ๕ ร้อยนั้นแล อริ-
ᨿᨾᨣ᩠ᨣᨬᩣ᩠ᨶᨲᩢ᩠ᨯᨡᩣ᩠ᨯᩃᩫᨶᩣᩴᨡᩮᩫᩣᩈᩩᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᩈᩘᨡᩣᨲᨵᩤ᩠ᨯᩉᩣᨸᩕᨧᩱᨸᩴᨯᩱᩃᩫ ᩋᩢ᩠ᨶᨧᩢᨲᩯ᩠ᨦᨸᩯ᩠ᨦᨸᩴᨯᩱ ᨸᩮᩢ᩠ᨶᩈᩪᩢᩋᩢ᩠ᨶᩃᩣᩴᨿᩦ᩠ᨦᨠ᩠ᩅᩣᩈᩪᩢᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᩃᩫ ᨽᩣᨣ᩠ᨿᩡᩍᩈᩥᩁᩥᨿᩣᨴᩥᨶᩴᨣᩩᨱᩣᨶᩴᨸᩁᨾᩮᩣᨶᩥᨵᩥ ᩁᩦᨻᩕᨻᩩ
-ยมัคคญานตัดขาดแลนำเข้าสุนีพพาน อันเป็นสังขาตธาดหาประไจบ่ได้แล อันจักแต่งแปงบ่ได้ เป็นสูกอันล้ำยี่งกว่าสูกทั้งมวนแล ภาคฺยะอิสิริยาทินํคุณานํปรโมนิธิ อันว่าพระพุ-
ᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨲᩢ᩠ᨯᩈᩕᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᨿᩮᨿ᩠ᨿᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᨶᩢ᩠ᨶ ᨶᩥᨭᩥᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨡᩩᨾᨣᩣᩴᩋᩢ᩠ᨶᩏᨯᩫ᩠ᨾᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤ ᨷᩩᩁᩈᩫᨾ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᨶᩉᩣᩢᨯᩱᩉᩬᨾᩉ᩠ᨿᩢᨷᨶᩣᩢ᩠ᨷᨾᩣᨲᩯᨶᩲᨠᩣ᩠ᩃᩣᨾᩮᩥᩬᨠᩬᩁᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩴᨧᩦ᩠ᨦᨯᩱᨸᩮᩢ᩠ᨶ
-ทธเจ้าตนตัดสระรู้ยังเยยยธัมม์ทั้งมวน นั้น นิฏิเป็นดังขุมคำอันอุดมมีต้นว่า บุนสมพานอันตนหากได้หอมหยับนานับมาแต่ในกาลาเมื่อก่อนนั้น ก็จีงได้เป็น
ᩉᩲ᩠ᨿᨠᩯᩃᩰ᩠ᨠᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨽᨣᩅᩤᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨲᩢ᩠ᨯᩈᩕᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩈᨧ᩠ᨧᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦ ᪔ ᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩨᨴᩩᨠ᩠ᨡᩈᨧ᩠ᨧᩈᨾ᩠ᨾᩩᨴ᩠ᨵᨿ᩠ᨿᩈᨧ᩠ᨧᨶᩥᩃᩮᩣᨵᩈᨧ᩠ᨧᨾᨣ᩠ᨣᩈᨧ᩠ᨧᩃᩫ ᩈᨾᩩᨴ᩠ᨵᨿᩈᨧ᩠ᨧᨶ᩠ᨶ ᨯᩱᨲᨱ᩠ᩉᩣ
ใหย่แก่โลกทั้งหลาย ภควาอันว่าพระพุทธเจ้าตนตัดสระรู้ยังสัจจธัมม์ทั้ง ๔ นั้น คือทุกขสัจจ์สัมมุทธัยยสัจจ์นิโลธสัจจ์มัคคสัจจ์แล สมุทธัยสัจจ์นั้น ได้ตัณหา
ᨻᩢ᩠ᨶ ᪕ ᩉᩲᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨸᩕᩣᨳ᩠ᨶᩣᩏᩫᩣᩈᩫ᩠ᨾᨸᩢ᩠ᨯᨶᩲᨩᩢ᩠ᨶᨼᩣᩃᩯᨾᩮᩥ᩠ᨦᨣᩫ᩠ᨶ ᨸᩩᨳᩩᨩᩫ᩠ᨶᨻᩣᩃᨴ᩠ᩃᩣᩢᩈᩲᨧᩲᩅᩤᨸᩮᩢ᩠ᨶᩈᩪᩢᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨴᩯ ᨴᩩᨠ᩠ᨡᩈᨧ᩠ᨧᨾᩣᨸᩮᩢ᩠ᨶᨹ᩠ᩃᩡᩉᩯ᩠ᨦᨴᩪᩢᩈᩦ᩠ᨦᨯ᩠ᨿᩅᩃᩫᨾᨣ᩠ᨣᩈᨧ᩠ᨧᨯᩱᩋᩫ᩠ᨦᨣᨣᩥᨠᨾᨣ᩠ᨣᨴ᩠ᩅᩣ᩠ᨶᨴᩢ᩠ᨦ ᪓ ᨣᩨᩈᨾ᩠ᨾᩣᨴᩥᨭ᩠ᨮᩦᩈᨾ᩠ᨾᩣ
พัน ๕ ให้สัดทั้งหลาย ปราถนาเอาสมบัดในชั้นฟ้าแลเมิงคน ปุถุชนพาลทั้งหลายใส่ใจว่าเป็นสูกด้วยแท้ ทุกขสัจจ์มาเป็นผละแห่งทูกสี่งเดียวแลมัคคสัจจ์ได้องคคิกมัคคทวานทั้ง ๓ คือ สัมมาทิฏฐีสัมมา-
ᩈᩘᨠᨸ᩠ᨸᩮᩣᩈᨾ᩠ᨾᩣᩅᩣᨧᩣᩈᨾ᩠ᨾᩣᨠᨾᨶ᩠ᨲᩮᩣᩈᨾ᩠ᨾᩣᩋᩣᨩᩥᩅᩮᩣ ᩈᨾ᩠ᨾᩣᩅᩣᨿᩣᨾᩮᩣᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᨲ᩠ᨲᩥᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᨾ᩠ᨾᩣᨵᩥᩃᩫ ᩈᨾ᩠ᨾᩣᨴᩥᨭ᩠ᨮᩦᨲᩫ᩠ᩅᨶᩢ᩠ᨶ ᨯᩱᨸᨬᩣ ᪕ ᨲᩫ᩠ᩅᨣᩨᩅᩥᨾᩘᨠᨴᩥᨸᩣ᩠ᨯ ᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨻᩦᨧ᩠ᨧᩁᨱᩣᨯᩪᨿᩢ᩠ᨦᨧᩦ᩠ᨯᨧᩲ
-สังกัปโปสัมมาวาจาสัมมากมันโตสัมมาอาชิโว สัมมาวายาโมสัมมาสัตติสัมมาสัมมาธิแล สัมมาทิฏฐีตัวนั้น ได้ปัญญา ๕ ตัวคือวิมังกทิบาด ผญาอันรู้พีจจรณาดูยังจีดใจ
ᩉᩯ᩠ᨦᨴᩣ᩠ᨶᨹᩪᩋᩨ᩠ᨶ ᨸᨬᩦᨶ᩠ᨴᩕᩥᨿᩡᨶᩢ᩠ᨶᨯᩱᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨻᩦᨧᩣᩁᨱᩣᨯᩪᨿᩢ᩠ᨦᩈᩫᨾ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩉᩯ᩠ᨦᨲᩫ᩠ᨶᩉᩲᨧᩯ᩠ᨦᨸᨬᩣᨻᩃᨣᩨᨸᨬᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨻᩦᨧ᩠ᨧᩣᩁᨱᩣᨯᩪᨿᩢ᩠ᨦᨸᩕ᩠ᨿᩣᩉᩲᨾᩦᨠᩣᩴᩃᩢ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᩅᩥᨧᩮᨿ᩠ᨿᩈᨾ᩠ᨻᩮᩣ
แห่งท่านผู้อื่น ปญีนทริยะนั้นได้ผญาอันรู้พีจารณาดูยังสมพานแห่งตนให้แจ้งปัญญาพละคือปัญญาอันรู้พีจจารณาดูยังผญาให้มีกำลังธัมมวิเจยย์สัมโพ-
ᩈᩘᨣᩮᩣᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩨᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨻᩦᨧᩣᩁᨱᩣᨯᩪᨿᩢ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᨸᩥᨭ᩠ᨭᨠᨴᩢ᩠ᨦ ᪓ ᩈᨾ᩠ᨾᩣᨴᩦᨭ᩠ᨮᩦᨶᩢ᩠ᨶᨯᩱᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨠᩣᩴᨧᩢ᩠ᨯᩈᩮᩢ᩠ᨿ ᨿᩢ᩠ᨦᨾᩥᨧ᩠ᨨᩣᨴᩥᨭ᩠ᨮᩦᨴ᩠ᩃᩣᩢᨯᩱ ᪖᪒ ᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᨴᩮᩫᩣᨶᩦ ᨠᩫ᩠ᨯᨡᩮᩫᩣᨶᩲᩈᨾ᩠ᨾᩣᨸᩮᩢ᩠ᨶ
สังโคนั้น คือผญาอันรู้พีจารณาดูยังธัมมปิฏฏกะทั้ง ๓ สัมมาทีฏฐีนั้นได้ผญาอันรู้กำจัดเสียยังมิจฉาทิฏฐีทั้งหลายได้ ๖๒ ธัมม์ทั้งมวนเท่านี้ กดเข้าในสัมมาเป็น
ᩉᩫ᩠ᨶᨴᩣ᩠ᨦᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩈᩮᩢ᩠ᨶ ᪑ ᩃᩫ ᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᩘᨠᨸ᩠ᨸᩮᩣᨯᩱᩈᩘᨠ᩠ᨸ ᪓ ᩋᩢ᩠ᨶᨣᩨᨶᩮᨠ᩠ᨡᨾᩈᩘᨠᨸ᩠ᨸᨣᩨᩅᩮᩢ᩠ᨶᨧᩣᩢ ᨠᩣᨾ᩠ᨾᨣᩩᩁ ᪒ ᨧᩣᩴᨻ᩠ᩅᩢᨣᩨᨠᩥᩃᩮᩔᨠᩣ᩠ᨾᨲᨱ᩠ᩉᨯ᩠ᩅ᩠ᨿ ᨾᩣᨲᩩᨣᩤ᩠ᨾᨶᩢ᩠ᨶᨣᩨᨲᨱ᩠ᩉᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨡᩮᩫᩣᨡᩬᩙᨦᩮᩥ᩠ᨶᨣᩣᩴᨻ᩠ᨿᩣᨷᩣ᩠ᨯᩈᩘᨠᨸ᩠ᨸᨸᩢ᩠ᨶᨴᩮᩫᩣ
หนทางนีพพานเส้น ๑ แล สัมมาสังกัปโปได้สังกัป ๓ อันคือเนกขมสังกัปปะคือเว้นจากกามมคุน ๒ จำพวกคือกิเลสส์กามตัณหะด้วยมาตุคามนั้นคือตัณหะด้วยเข้าของเงินคําพยาบาดสังกัปปะบันเทา
ᩈᩮᩢ᩠ᨿᨿᩢ᩠ᨦᨣ᩠ᩅᩣ᩠ᨾᨠᩮᩣᨵᨣᩮᩥᩬᨦᨣ᩠ᨿᨯ ᩋᩅᩥᩉᩥᩈᩣᩈᩘᨠᨸ᩠ᨸᩅᩮᩢ᩠ᨶᨧᩣᩢᩋᩢ᩠ᨶᨸ᩠ᨿᨯᨸ᩠ᨿ᩠ᨶᨿᩢ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩉᩲᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᨴᩪᩢᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨠᩣᨿ᩠ᨿᩅᨧᩦᨾᨶᩮᩣᩉᩯ᩠ᨦᨲᩫ᩠ᨶᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᨴᩮᩫᩣᨶᩦ ᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩫ᩠ᨶᨴᩣ᩠ᨦᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩈᩮᩢ᩠ᨶ ᪑ ᩃᩫ ᩈᨾ᩠ᨾᩣᩅᩤᨧᩣᩅᩮᩢ᩠ᨶᨧᩣᩢᩅᩣ
เสียยังความโกธเคืองเคียด อวิหิสาสังกัปปะเว้นจากอันเบียดเบียนยังสัดทั้งหลาย ให้ได้เถิงทูกด้วยกายย์วจีมโนแห่งตนธัมม์ทั้งมวนเท่านี้ เป็นหนทางนีพพานเส้น ๑ แล สัมมาวาจาเว้นจากวา-
ᨧᩣᩃᩫᨠᩃᩖᨿᩣᨶᩣᨾᩦ᩠ᨯ ᪔ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶ ᨾᩦᨣ᩠ᩅᩣ᩠ᨾᨲᩫ᩠ᩅᩃᩣ᩠ᨿ ᩃᩫᩈᩴᩈᩫ᩠ᨶᩉᩲᨴᩣ᩠ᨶᨹᩦ᩠ᨯᨠᩢ᩠ᨶᩃᩫᩅᩮᩢ᩠ᨶᨧᩣᩢᨹᩁᩪᩔᩅᩤᨧᩣᩃᩫᨠᩃᩖᨿᩣᨶᩣᨾᩦ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩉᩲᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᨴᩪᩢᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨠᩣᨿᩅᨧᩥᨾᨶᩮᩣᩉᩯ᩠ᨦᨲᩫ᩠ᨶᨵᨾ᩠ᨾ
-จาแลกัลลยานามีด ๔ ประกานนั้น มีความตัวะหล้าย แลส่อสนให้ท่านผีดกันแลเว้นจากผรูสฺสวาจาแลกัลลยานามีดทั้งหลาย ให้ได้เถิงทูกด้วยกายวจิมโนแห่งตนธัมม์
ᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᨴᩮᩫᩣᨶᩦᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩫ᩠ᨶᨴᩣ᩠ᨦᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩈᩮᩢ᩠ᨶ ᪑ ᩃᩫ ᩈᨾ᩠ᨾᩣᩅᩤᨧᩣᨶᩢ᩠ᨶᩅᩮᩢ᩠ᨶᨧᩣᩢᩅᩤᨧᩣ ᪔ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᨾᩦᨣᩣᩴᩃᩣ᩠ᨿᩃᩫᩈᩴᩈᩫ᩠ᨶᩉᩱᨴᩣ᩠ᨶᨹᩦ᩠ᨯᨠᩢ᩠ᨶᩃᩯᩅᩮᩢ᩠ᨶᨧᩣᩢᨹᩁᩪᩔᩅᩤᨧᩣᩃᩫᨠᩖᩣ᩠ᩅᨣᩣᩴᩉ᩠ᨿᩣ᩠ᨷᨩᩣᨠᩣ
ทั้งมวนเท่านี้เป็นหนทางนีพพานเส้น ๑ แล สมฺมาวาจานั้นเว้นจากวาจา ๔ ประกานมีคำหล้ายแลส่อสนให้ท่านผีดกันแลเว้นจากผรูสฺสวาจาแลกล่าวคำหยาบช้าก้า
ᨡᩯ᩠ᨦᩈᨾ᩠ᨸᨹᩃᩣᩅᩤᨧᩣ ᩅᩮᩢ᩠ᨶᨧᩣᩢᨣᩣᩴᩉᩣᨸᩕᨿᩮᩣᨩᩡᨸᩴᨯᩱ ᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᨶᩦᨠᩫ᩠ᨯᨡᩮᩫᩣᨶᩲᨸᩫ᩠ᨯᩅᩣᨧᩣᩈᨾ᩠ᨾᩣᩅᩤᨧᩣᩃᩫᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩫ᩠ᨶᨴᩣ᩠ᨦᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩈᩮᩢ᩠ᨶ ᪑ ᩃᩫ ᩈᨾ᩠ᨾᩣᩋᩣᨩᩦᩅᩮᩤᩃ᩠ᨿᩙᨩᩦᩅᩦ᩠ᨯᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩋᩢ᩠ᨶᨩᩬᨸᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿ
แขงสัมปผลาวาจา เว้นจากคำหาประโยชะบ่ได้ ธัมม์ทั้งมวนนี้กดเข้าในบดวาจาสัมมาวาจาแลเป็นหนทางนีพพานเส้น ๑ แล สัมมาอาชีโวเลี้ยงชีวีดด้วยอันชอบประกอบด้วย
ᨿᩮᩣᨶᩥᩈᩮᩣᨾᨶᩈᩥᨠᩣ᩠ᨶᩃᩫ ᨻ᩠ᩃᩢᩁᨯᩢ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨠᨷ᩠ᩅᨯᨧᩮᩫᩣᩋᩢ᩠ᨶᨠ᩠ᨴᩣᩴᨹᩥ᩠ᨯᨣᩨᩋᨶᩮᩈᨶᨠᩣᩴ ᪒᪑ ᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫᩋᨣᩮᩣᨧᩁ ᪕ ᩋᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᩉᩫ᩠ᨦᨸᩁᩥᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᩅᩯ᩠ᨶᨧᩣᩢᨣ᩠ᩃᩣᨡᩣ᩠ᨿᨡᩬᩙᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᩅᩥᨬᩣ᩠ᨶᩓᨡᩬᩙᩋᩢ᩠ᨶᩉᩣᩅᩦᨬᩣ᩠ᨶᨸᩴ
โยนิโสมนสิกานแล พลันดังนักบวดเจ้าอันกะทำผิดคืออเนสนกำ ๒๑ นั้นแลอโคจร ๕ อันแล แห่งบริสัดทั้งหลายแว้นจากคล้าขายของอันมีวิญญานแลของอันหาวิญญานบ่-
ᨯᩱᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤᨣ᩠ᩃᩣᨡᩬᩙᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨻᩦ᩠ᩈᨳ᩠ᩅᩁᩃᩫᨣᩕᩮᩥᩬᨦᩋᩣᩅᩩᨯᩉᩬᩢᨯᩣ᩠ᨷᩃᩫᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᨴᩮᩫᩣᨶᩦᨣᩴᨡᩮᩫᩣᨶᩲᨸᩫ᩠ᨯᩅᩤᩈᨾ᩠ᨾᩣᩋᩣᨩᩥᩅᩮᩤᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩫ᩠ᨶᨴᩣ᩠ᨦᨡᩮᩫᩣᩈᩪᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩈᩮᩢ᩠ᨶ ᪑ ᩓᩈ
-ได้มีต้นว่าคล้าของอันมีพีสถ้วนแลเครื่องอาวุดหอกดาบแลธัมม์ทั้งมวนเท่านี้ก็เข้าในบดว่าสัมมาอาชิโวเป็นหนทางเข้าสู่นีพพานเส้น ๑ แลสั-
ᨾ᩠ᨾᩣᩅᩤᨿᩣᨾᩮᩣᨶᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨻ᩠ᨿᩁᩋᩢ᩠ᨶᨯᩦᨾᩦᩅᩥᩁᩥ᩠ᨿᩡᨠᩣ᩠ᩃᩡᨲᩫ᩠ᩅᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩮᩢ᩠ᨯᩉᩲᨯᩱᨠ᩠ᨴᩣᩴᨻ᩠ᨿᩁᨣᩨᩈᨾ᩠ᨾᩩᨸ᩠ᨸᨴᩣ᩠ᨶ ᪔ ᨣᩨᩅᩥᩁᩥ᩠ᨿᩢᨶ᩠ᨵᩕᩥᩅᩥᩁᩥ᩠ᨿᩡᨻᩁᩅᩥᩁᩥ᩠ᨿᩡᩈᨾ᩠ᨻᩮᩣᨩᩙᨣᩈᨾ᩠ᨾᩣᩅᩤᨿᩣᨾᩮᩣ
-มมาวายาโมนั้นประกอบด้วยเพียนอันดีมีวิริยะกาละตัวเป็นเหดให้ได้กะทำเพียนคือสัมมุปปทาน ๔ คือวิริยันธริวิริยะพระวิริยะสัมโพชังคสัมมาวายาโม
ᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᨴᩮᩫᩣᨶᩦᨣᩴᨡᩮᩫᩣᨶᩲᩈᨾ᩠ᨾᩣᩅᩤᨿᩣᨾᩮᩣᩓᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩫ᩠ᨶᨴᩣ᩠ᨦᨡᩮᩫᩣᩈᩪᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩈᩮᩢ᩠ᨶ᪑ᩓ ᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᨲ᩠ᨲᩥ ᪘ ᨲᩫ᩠ᩅᨣᩨᩈᨲ᩠ᨲᩥᨸᨭ᩠ᨮᩣ᩠ᨶ ᪔ ᩈᨲᩥᨶ᩠ᨵᩥᨿᩈᨲ᩠ᨲᩥᨻᩃᩈᨲ᩠ᨲᩥᩈᨾ᩠ᨻᩮᩣᨩᩘᨣᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᨲᩥᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ
ธัมม์ทั้งมวนเท่านี้ก็เข้าในสัมมาวายาโมแลเป็นหนทางเข้าสู่นีพพานเส้น ๑ แล สัมมาสัตติ ๘ ตัวคือสัตติปัฏฐาน ๔ สตินฺธิยสัตติพละสัตติสัมโพชังคสัมมาสติธัมม์ทั้งมวน
ᨶᩦᨣᩴᨡᩮᩫᩣᨶᩲᨸᩫ᩠ᨯᩅᩤᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᨲᩥᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩫ᩠ᨶᨴᩣ᩠ᨦᨡᩮᩫᩣᩈᩪᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩈᩮᩢ᩠ᨶ᪑ᩓ ᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈ(ᨾ᩠ᨻᩮᩣ)ᨾ᩠ᨾᩣᨵᩥᨯᩱᩈᨾ᩠ᨾᩣᨵᩥᩈᩥᩋᩢ᩠ᨶᨣᩨ᩠ᩅᩣᩈᨾ᩠ᨾᩣᨵᩥᨶ᩠ᨵᩥᩈᨾ᩠ᨾᩣᨴᩥᨻᩃᩈᨾ᩠ᨾᩣᨵᩥᩈᨾ᩠ᨻᩮᩣᨩᩘᨣᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᨾ᩠ᨾᩣᨵᩥᩓᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅ
นี้ก็เข้าในบดว่าสัมมาสติเป็นหนทางเข้าสู่นีพพานเส้น ๑ แล สัมมาสั(มโพ)มมาธิได้สัมมาธิสิอันคือว่าสัมมาธินฺธิสัมมาทิพละสัมมาธิสัมโพชังคสัมมาสัมมาธิแลธัมม์ทั้งมว-
ᩁᨴᩮᩫᩣᨶᩦ ᨠᩫ᩠ᨯᨡᩮᩫᩣᨶᩲᨸᩫ᩠ᨯᩅᩤᩈᨾ᩠ᨾᩣᩈᨾ᩠ᨾᩣᨵᩥᩃᩫᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩫ᩠ᨶᨴᩣ᩠ᨦᨡᩮᩫᩣᩈᩪᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩈᩮᩢ᩠ᨶ᪑ᩃᩫ ᨶᩥᨿᩣᨠᨶᩣᩴᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩬᩢᨧᩣᩢᩅᨲ᩠ᨲᩈᩫ᩠ᨦᩣ᩠ᨶᩉᩲᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᨿᩢ᩠ᨦᨶᩥᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩃᩫᨸᨬ
-นเท่านี้ กดเข้าในบดว่าสัมมาสัมมาธิแลเป็นหนทางเข้าสู่นีพพานเส้น ๑ แล นิยากนำสัดทั้งหลาย ออกจากวัตตสงสานให้ได้เถิงยังนิพพานแลปญฺญ-
ᩣᨿᩈᨻ᩠ᨻᨵᨾ᩠ᨾᩮᩈᩩᨠᩣᩁᩩᨱᩣᩈᨻ᩠ᨻᨩᨶ᩠ᨲᩩᩈᩩᩋᨲ᩠ᨲᨭ᩠ᨮᩣᨶᩴᨸᩁᨭ᩠ᨮᩣᨶᩴᩈᩣᨭᩥᨠᩣᨣᩩᨱᨩᩮᨭ᩠ᨮᩥᨠᩣᨽᩣᨣ᩠ᨿᩡ ᩍᩈᩥᩁᩥᨿᩣᨣᩩᨶᩣᨶᩴ ᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨵᩕᩫ᩠ᨦᨽᩣ
-ายสพฺพธมฺเมสุการุณาสพฺพชนฺตุสุอตฺตฏฺฐานํปรฏฺฐานํสาฏิกาคุณเชฏฺฐิกาภาคฺยะ อิสิริยาคุนานํ อันว่าพระพุทธเจ้าตนธรงภา-
ᨣ᩠ᨿᩡᩋᩢ᩠ᨶᨦᩣ᩠ᨾ ᪖ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩨᩍᩈᩥᩁᩥᨿᨽᩣᨣ᩠ᨿᩡᨵᨾ᩠ᨾ ᨿᩔᩍᩈᩥᩁᩥᨠᩣᨾᨸᨿᩩᨲ᩠ᨲᩃᩫ ᩍᩈᩥᩁᩥᨠᩣᨾᨸᨿᩩᨲ᩠ᨲᩃᩫ ᩍᩈᩥᩁᩥᨿᨽᩣᨣ᩠ᨿᩡ ᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨹᩣ᩠ᨿᨿᩢ᩠ᨦᩈᨻ᩠ᨻᨱ᩠ᨱᩁᩢ᩠ᨦᩈᩦ ᪖ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶ
-คฺยะอันงาม ๖ ประกานนั้น คืออิสิริยภาคฺยะธัมม์ ยัสสอิสิริกามปยุตต์แล อิสิริกามปยุตต์แล อิสิริยภาคฺยะ อันว่าพระพุทธเจ้าผายยังสัพพัณณรังสี ๖ ประกาน
ᨣᩨ᩠ᩅᩣᩋᩢ᩠ᨶᨡ᩠ᨿᩅᨦᩣ᩠ᨾᩋᩢ᩠ᨶᩉᩮᩖᩥᨦᩋᩢ᩠ᨶᨯᩯ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶᨡᩣ᩠ᩅᩋᩢ᩠ᨶᩉ᩠ᨾᩫᩁᩋᩢ᩠ᨶᩉᩮᩖᩥᨾᨻᩮᩥᩬᨧᩢᨹᩰ᩠ᨯᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩉᩲᨳᩮᩥ᩠ᨦᩈᩪᩢᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨲᩢ᩠ᨯᩈᩕᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᩋᩢ᩠ᨶᨯᩱ ᪘ ᩉ᩠ᨾᩨᩁ ᪔ ᨻᩢ᩠ᨶᨡᩢ᩠ᨶᨸᩴᨾᩦᨹᩪᨧᩢᩈᩢ᩠ᨦᩈᩬᩁᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣ
คือว่าอันเขียวงามอันเหลิงอันแดงอันขาวอันหม่นอันเหลิ่มเพื่อจักโผดสัดทั้งหลาย ให้เถิงสูกพระพุทธเจ้าตนตัดสระรู้ยังธัมม์ทั้งมวน อันได้ ๘ หมื่น ๔ พันขันบ่มีผู้จักสั่งสอนพระพุทธเจ้า
ᨲᩢ᩠ᨯᩈᩕᩁᩪᩃᩫᨵᩕᩫ᩠ᨦᨿᩢ᩠ᨦᨿᩔᩋᩢ᩠ᨶᩂᨩᩣᨴᩫ᩠ᩅᨸᩱᨶᩲᩈᩢ᩠ᨯᩃᩯᩈᩯ᩠ᨶᨠᩰ᩠ᨯᨧᩢᨠᩕᩅᩣ᩠ᨶᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᩈ᩠ᩅᩁᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨾᩦᩁᩈ᩠ᨾᩦᩁᩢ᩠ᨦᩋᩬᩢᨸᩱᨧᩣᩢᨲᩫ᩠ᨶᨯᩱᩃᩯᩅᩤᨸᩮᩢ᩠ᨶᨶᩥᨧ᩠ᨧᨠᩣ᩠ᨶᨴ᩠ᨿᩙ
ตัดสระรู้แลธรงยังยัสส์อันฤชาทั่วไปในสัดแลแสนโกดจักกระวานทั้งมวน ส่วนอันว่าพระพุทธเจ้าตนมีรัสมีรั้งออกไปจากตนได้แลว่าเป็นนิจฺจกานเที่ยง
ᨴᩯᩉᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨲᩫ᩠ᨶᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩈᩩᩙᨯᩱ᪑᪘ᩈᩬᩢᨡᩮᩫᩣᨸᩱᨾᩮᨲ᩠ᨲᩣᨶᩲᨠᩕᨠᩩᩁᩉᩯ᩠ᨦᨸᩁᩥᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᨯᩢ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣ ᨣᩴᨸᩴᨠᩫ᩠ᨾᨸᩴᨾᩬᨸᨣᩴᨡᩮᩫᩣᨸᩱᨲᩣ᩠ᨾᨸ(ᨲ)ᨠ᩠ᨠᨲᩥᨻᩩᨴ᩠ᨵ
แท้หั้นแล ตนพระพุทธเจ้าสุงได้ ๑๘ สอกเข้าไปเมตฺตาในกระกุนแห่งบริสัดทั้งหลายดังอัน พระพุทธเจ้า ก็บ่ก้มบ่มอบก็เข้าไปตามป(ต)กฺกติพุทธ-
ᩃᩦᩣᨸᨿᩩᨲ᩠ᨲᩣ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨻ᩠ᨿ᩠ᨶᩈᩢ᩠ᨦᩈᩬᩁᨿᩢ᩠ᨦᩈᨲ᩠ᨲᩃᩰ᩠ᨠᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᨿᩦ᩠ᨦᨠ᩠ᩅᩣᩋᩁᩥᨿᨶᩢ᩠ᨠᨸᩣ᩠ᨯᨧᩮᩫᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢᩃᩯ ᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶ ᨸᩅᨲᨲᩥᨣᩴᩉᩲᨸᩮᩢ᩠ᨶᨸᩱᨶᩲᩈᩢ᩠ᨯᩋᩢ᩠ᨶᩉᩣᨲᩦ᩠ᨶᨸᩴᨯᩱᩃᩫ
ลีลาปยุตฺตา พระพุทธเจ้าตนประกอบด้วยเพียนสั่งสอนยังสัตต์โลกทั้งมวน ยี่งกว่าอริยนักปาดเจ้าทั้งหลายแล อันว่าพระพุทธเจ้าตนนั้น ปวตติก็ให้เป็นไปในสัดอันหาตีนบ่ได้แล
ᩈᩢ᩠ᨯᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦ ᪒ ᨲᩦ᩠ᨶᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈᩣᨾᩣᨲ᩠ᨳᩉᩯ᩠ᨦᩋᩣᨠᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨶᩣᩴᨴᩪᩢᩈᩮᩢ᩠ᨿᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨣᩩᩁᩋᩢ᩠ᨶᨠᩖᩣ᩠ᩅᨣᩨ᩠ᩅᩣᨾᩉᩣᨠᩣᩁᩩᨱᩣᨾᩩᨱᩥᩁᨩᩔᩉᩯ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩲ᩠ᨿᨠᩯᨶᩢ᩠ᨠᨸᩣ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨻᩩᨴ᩠ᨵᨬᩣᨱ
สัดอันมี ๒ ตีนด้วยสามาตถ์แห่งอากาน อันนำทูกเสียด้วยคุนอันกล่าวคือว่ามหาการุณามุณิรชสฺสแห่งพระพุทธเจ้าตนเป็นใหย่แก่นัดปาดทั้งหลาย อันประกอบด้วยพุทธญาณ
᪑᪕ ᩈᩣᨵᩥᨠᩣᨣᩴᩉᩲᩃᩫ᩠ᩅ ᨿᩢ᩠ᨦᨸᩕᨿᩮᩣᨩᩡᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᩈᨻ᩠ᨻᨬᩪᨲᨬᩣ᩠ᨶᩃᩫ ᩋᩁᩥᨿᨾᨣ᩠ᨣᨿᩣ᩠ᨶᩉᩯ᩠ᨦᨲᩫ᩠ᨶ ᩈᩣᨵᩥᨠᩣᨣᩴᩉᩲᩃᩯ᩠ᩅ ᨸᩁᨾᨲ᩠ᨳᩣᨶᩴ ᨿᩢ᩠ᨦᨸᨿᩮᩣᨩᩡᨴ᩠ᩃᩣᩢ
๑๕ สาธิกาก็ให้แล้ว ยังประโยชะทั้งหลาย คือว่าสัพพัญญูตญานแล อริยมัคคยานแห่งตน สาธิกาก็ให้แล้ว ปรมตฺถานํ ยังปโยชะทั้งหลาย
ᨾᩦᩈᩦ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᨶ ᨾᩦᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨴᩦᩈᩩᨯ ᩉᩯ᩠ᨦᨣᩫ᩠ᨶᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨻᩩᨴ᩠ᨵᨬᩣ᩠ᨶ(ᨱᩴ) ᪑᪕ ᨶᩢ᩠ᨶ ᨯᩱᨺᩪᨦᨧᩣᨴᩩᨠ᩠ᨡᩴᨬᩣᨱᩴ ᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨴᩩᨠ᩠ᨡᩈᨧ᩠ᨧ ᩈᨾᩩᨴ᩠ᨵᨿᩈᨧ᩠ᨧᨶᩥᩃᩮᩣᨴᩡ
มีสีนเป็นต้น มีนีพพานเป็นที่สุด แห่งคนทั้งหลาย พุทธญาน(ณํ) ๑๕ นั้น ได้ฝูงจาทุกฺขํญาณํ ผญาอันรู้ทุกขสัจจ์ สมุทธยสัจจ์นิโลทะ
ᩈᨧ᩠ᨧᩡ ᨶᩦᨣᩴᨸᩮᩢ᩠ᨶᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨷᨴᩪᩢᨶᩲᨽᩣᩅᩈᩫ᩠ᨦᩈᩣ᩠ᨶ ᨾᨣ᩠ᨣᨬᩣ᩠ᨶᨿᩢ᩠ᨦᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᨾᨣ᩠ᨣᩈᨧ᩠ᨧᩉᩮᩢ᩠ᨯᩉᩲᨳᩮᩥ᩠ᨦᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩃᩫ ᨸᨭᩥᩈᨾ᩠ᨽᩥᨴᩡᨬᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᨣᩨᩋᨲ᩠ᨳᨸᨭᩥᩈᨾ᩠ᨽᩥᨴᩣᨬᩣ᩠ᨶᨶᩥᩁᩪ
สัจจะ นี้ก็เป็นผญาอันรู้ยังนีพพาน อันดับทูกในภาวะสงสาน มัคคญานยังผญาอันรู้ยังมัคคสัจจ์เหดให้เถิงนีพพานแล ปฏิสัมภิทะญานนั้นคืออัตถปฏิสัมภิทาญานนิรู-
ᨲ᩠ᨲᩥᨸᨭᩥᩈᨾ᩠ᨽᩥᨴᩣᨬᩣ᩠ᨶ ᪔ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᨶᩦᩃᩫ ᩋᨽᩥᨬᩣ᩠ᨶ ᪖ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᩍᨴ᩠ᨵᩥᩅᨴ᩠ᨵᩥᨬᩣ᩠ᨶᨴᩥᨻ᩠ᨻᩈᩮᩣᨲᩅᩥᨬᩣ᩠ᨶ ᨧᩮᨲᨸᩁᩥᨿᩣᨱᨸᩩᩁᨱᩴ ᨸᩩᨻ᩠ᨻᩮᨶᩥᩅᩤᩈᩣᨶᩩᩔᨲᩥᨬᩣᨱᩴ ᩋᩣᩈᩣᩅᨠ᩠ᨡᨬᩣᨱᩴ
ตติปฏิสัมภิทาญาน ๔ ประกานนี้แล อภิญาน ๖ ประกานนั้น คือว่าอิทธิวัทธิญานทิพพโสตวิญญาน เจตปริยาณปุรณํ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณํ อาสาวักขญาณํ
ᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦᩃᩫ ᨴᨬᩣᨿᨸᩤᩁᨾᩥᨧᩥᨲ᩠ᩅᩣᨸᨬᩣᨿᨲ᩠ᨲᩣᨿᨾᩩᨴ᩠ᨵᩁᩥᩃᩮᩣᨠᨶᩣᨳᩮᩣᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨴᩦᨻᩮᩥ᩠ᨦᨻᩮᩥ᩠ᨦᨠᩯᩃᩰ᩠ᨠᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶ(ᩋᩨ᩠ᨶ)ᩋᩦ᩠ᨶᨯᩪᨿᩢ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ᩠ᩅ ᨣᩴ
ดังนี้แล ทญายปารมิจิตฺวาปญายตฺตายมุทฺธริโลกนาโถอันว่าพระพุทธเจ้าตนเป็นที่เพิ่งเพิ่งแก่โลกทั้งหลาย อันอีนดูยังสัดทั้งมวนนั้นแล้ว ก็
ᨸᩮᩢ᩠ᨶᩋᩣᩁᨾ᩠ᨾᨱᨧᩲᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩴᩁᩣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᨸᩣᩁᨾᨲ᩠ᨳᨿᩢ᩠ᨦᨸᩣᩁᨾᩦ ᨴᩔᨸᩁᨾᨲ᩠ᨳᨸᩣᩁᨾᩦ ᩈᨾᨲ᩠ᨲᩥᩈᨸᩁᨾᩦᨿᩮᩣ ᩁᩦᨻᩕᨸᩣᩁᨾᩦ ᪓᪐ ᨴᩢ᩠ᨯᨶᩢ᩠ᨶᨣᩨᩅᩤᨸᩣᩁᨾᨲ᩠ᨳᨸᩣᩁ
เป็นอารัมมณ์ใจนั้น ก็รำเพิงปารมัตถ์ยังปารมี ทสฺสปรมตฺถปารมี สมตฺติสปรมีโย อันว่าพระบารมี ๓๐ ทัดนั้นคือว่าปารมัตถปาร-
ᨾᩦᩈᩦ᩠ᨷᨶᩢ᩠ᨶ ᩏᨸ᩠ᨸᨸᩣᩁᨾᩦᩈᩦ᩠ᨸ ᨸᩣᩁᨾᨲ᩠ᨳᨸᩣᩁᨾᩦᩈᩦ᩠ᨸᩃᩫ᩠ᩅ ᨧᩮᩫᩣᨣᩴᨿᩫ᩠ᨠᩋᩬᩢᨿᩢ᩠ᨦᩈᨲ᩠ᨲᩃᩰ᩠ᨠᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩉᩲᨻᩫ᩠ᨶᨧᩣᩢᩈᩢ᩠ᨦᩈᩣᩁᨴᩩᨠ᩠ᨡᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨾᨣ᩠ᨣᨬᩣᨱᩉᩯ᩠ᨦᨲᩫ᩠ᨶ ᩈᩦᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᩃᩯ᩠ᩅᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨴᩦᨻᩮᩥ᩠ᨦ
-มีสีบนั้น อุปฺปปารมีสีบ ปารมัตถปารมีสีบแล้ว เจ้าก็ยกออกยังสัตต์โลกทั้งหลาย ให้พ้นจากสังสารทุกข์ทั้งมวน ด้วยมัคคญาณแห่งตน สี่ประกานแล้วอันว่าพระพุทธเจ้าตนเป็นที่เพิ่ง
ᨠᩯᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨿᩫ᩠ᨠᨿᩢ᩠ᨦᨿᩮᨿ᩠ᨿᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᨸᩴᩉᩲᩈᩮᩢ᩠ᨯᩈᩢ᩠ᨠᩋᩢ᩠ᨶ ᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈᨻ᩠ᨻᨬᩩᨲᨬᩣ᩠ᨶᩃᩫ ᩈᩣᩴᨯᩯ᩠ᨦᨿᩢ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᨠᩯᨣᩫ᩠ᨶᩃᩫᨴᩮᩅᨯᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨽᨣᩅᩤ ᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨴᩦᨻᩮᩥ᩠ᨦᨠᩯ
แก่สัดทั้งหลาย ยกยังเยยยธัมม์ทั้งมวนบ่ให้เสดสักอัน ด้วยสัพพัญญุตญานแล สำแดงยังธัมมเทสสนาแก่คนแลเทวดาทั้งหลายนั้นแล ภควา อันว่าพระพุทธเจ้าตนเป็นที่เพิ่งแก่
ᨣᩫ᩠ᨶᩃᩯᨴᩮᩅᨯᩣᨣᩴᨿᩫ᩠ᨠᩏᩫᩣᨿᩢ᩠ᨦᨣᩫ᩠ᨶᩃᩯᨴᩮᩅᨯᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨺᩪᨦᩋᩨ᩠ᨶᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤᨻᩕᩉᩫ᩠ᨾᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᪑᪘ ᨠᩰ᩠ᨯᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨠᩮᩣᨯᨬᨴᩮᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨲᩫ᩠ᨶ ᨧᩮᩫᩣᨣᩴᩋᩬᩢᨧᩣᩢᨾᩉᩣᩈᨾᩩᨴ᩠ᨵᨿ᩠ᨿᩈ
คนแลเทวดาก็ยกเอายังคนแลเทวดาทั้งหลาย ฝูงอื่นมีต้นว่าพรหมทั้งหลาย ๑๘ โกดอันมีโกฑัญญเท็นเป็นต้น เจ้าก็ออกจากมหาสมุทธัยยส-
ᩈᨧ᩠ᨧᨣᩨᩈᩢ᩠ᨦᩈᩣᩁᨴᩪᩢᩃᩫ᩠ᩅ ᨾᩣᨲᩢ᩠ᨦᨧᩱᨶᩲᨺᩢᨦᨶᩣᩴᨣᩨᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩃᩯᨴᩣᨿᨿᩫ᩠ᨠᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨾᩉᩣᨠᩣᩁᩩᨱᩣᨠᩯᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨴᩥᩔᨾᩣᨶᩮᩣᨸᩥᨲᩣᩅᩔᩁᩩᨸᨱᩣᨿᩮᩣᩋᨧᩥᨶ᩠ᨲ
สัจจ์คือสังสารทูกแล้ว มาตั้งไจในฝั่งน้ำคือนีพพานแลทายยกด้วยมหาการุณาแก่สัดทั้งหลาย ทิสฺสมาโนปิตาวสฺสรุปณาโยอจินฺต-
ᨿᩮᩣᩋᩈᩣᨵᩣᩁᨠᨬᨱᨭᩮᨵᨾ᩠ᨾᨠᩣᨿᩮᨠᩔᩅᨠᨲᩣᩁᩩᨸ᩠ᨸᨠᩣ᩠ᨿ ᩉᩯ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᩉᩲᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨩᩫ᩠ᨾᨩᩨ᩠ᨶᩃᩯᨿᩦ᩠ᨶᨯᩦᨶᩢ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨾᩉᩣᨸᩩᩁᩥᩔᩃᨠ᩠ᨡᨱᩉᩲ᩠ᨿ ᪓᪒ ᩃᨠ᩠ᨡᨱ
โยอสาธารกญณเฏธมฺมกาเยกสฺสวกตารุปป์กาย แห่งพระพุทธเจ้าตนให้สัดทั้งหลาย ชมชื่นแลยีนดีนั้น อันประกอบด้วยมหาปุริสสลักขณใหย่ ๓๒ ลักขณ
ᩋᩢ᩠ᨶᨶᩭᩈᩦ᩠ᨷᩋᩢ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩫ᩠ᨯᨠᩯᨣᩫ᩠ᨶᩃᩫᨴᩮᩅᨯᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨸᩴᩋᩣ᩠ᨯᨡ᩠ᨶᩡᨶᩣᨶᩢ᩠ᨷᨯᩱᨴᩯᩃᩫ ᨸᩴᨣ᩠ᩅᩁᨠᩖᩣ᩠ᩅᩋᩢ᩠ᨶᨯᩲᨶᩲᨲᩫ᩠ᨶᨣᩨᨵᨾ᩠ᨾᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤ ᩈᩦ᩠ᨶᩃᩫᩈᨾ᩠ᨾᩣᨵᩥᨸᨬᩣᨯᩦᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩋᩢ᩠ᨶᨩᩩᨾᨶᩩᨾᨾᩣᨿᩢ᩠ᨦᨣᩩᩁᩋᩢ᩠ᨶᩉᩣᨴᩦᩈᩩᨯᨸᩴᨯᩱᩉᩣᨸᩕ
อันน้อยสีบอัน อันประกดแก่คนแลเทวดาทั้งหลาย บ่อาดขนะนานับได้แท้แล บ่ควรกล่าวอันใดในตนคือธัมม์มีต้นว่า สีนแลสัมมาธิปัญญาดีด้วยอันชุมนุมมายังคุนอันหาที่สุดบ่ได้หาประ-
ᩉ᩠ᨾᩣ᩠ᨶᨸᩴᨯᩱ ᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤᨠᩃᩖᨿᩣᨱᩈᩦ᩠ᨷᩅᩮᩈᩁᨩᨬᩣ᩠ᨶ ᪔ ᩈᨧ᩠ᨧᨬᩣ᩠ᨶ ᪔ ᨸᨭᩥᩈᨾ᩠ᨽᩥᨴᩣᨬᩣ᩠ᨶ ᪔ ᨻᩩᨴ᩠ᨵᨵᨾ᩠ᨾ ᪑᪕ ᩋᩔᨵᩣᩁᨱᨬᩣ᩠ᨶ ᪖ ᩋᩢ᩠ᨶᨩᩫ᩠ᨾᩁᩥᨴ᩠ᨵᩦᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨬᩣ᩠ᨶ ᪖ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᨣᩴ
หมานบ่ได้ มีต้นว่ากัลลยาณสีบเวสรชญาน ๔ สัจจญาน ๔ ปฏิสัมภิทาญาน ๔ พุทธธัมม์ ๑๕ อัสสธารณญาน ๖ อันชมริทฺธีด้วยญาน ๖ ประกานนั้นก็
ᨸᩴᨴᩴᨲᩯᩋᩴᩁᩉᨶ᩠ᨲᩣᨧᩮᩫᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢᩃᩫ ᨻᩩᨴ᩠ᨵᨵᨾ᩠ᨾ ᪑᪘ ᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᨯᩱᩋᩢ᩠ᨶᨯᩲᨧᩣᩋᨲᩥᨲᨬᩣᨶᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩉ᩠ᨿᩴᨴᩴᨶᩲᨠᩮᩣᨳᩣᩢᩋᩢ᩠ᨶᨻᩫ᩠ᨶᨸᩱᩃᩫ᩠ᩅ ᩋᨶᩣᨣᨲᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩉ᩠ᨿᩴ
บ่ท่อแต่ออรหันตาเจ้าทั้งหลายแล พุทธธัมม์ ๑๘ นั้น คือว่าได้อันใดจาอติตญานํผญาอันหย้อท้อในโกถากอันพ้นไปแล้ว อนาคตญาณํผญาอันหย้อ-
ᨴᩴᨶᩲᨠᩮᩣᨳᩣᩢᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᨾᩣᨳᩮᩥ᩠ᨦᨴᩮᩥᩬ ᨸᨧ᩠ᨧᩩᨸᨶ᩠ᨶᨬᩣᨱᩴᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩉ᩠ᨿᩴᨴᩴᨶᩲᨠᩮᩣᨳᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨿᩢ᩠ᨦᨹᩫ᩠ᨦᨾᩦᨠᩣᨿᨠᨾ᩠ᨾ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨬᩣ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨸᩕᨵᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨠᩢ᩠ᨷᨲᩣ᩠ᨾᨬᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᩅᨧᩥᨠᨾ᩠ᨾᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨬᩣ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨸᩕᨵᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨠᩢ᩠ᨷ
-ท้อในโกถากอันบ่มาเถิงเทือ ปจฺจุปนฺนญาณํผญาอันบ่หย้อท้อในโกถาก อันยังผงมีกายกัมม์ อันมีญานเป็นประธาน อันกับตามญานนั้น คือว่าวจิกัมม์อันมีญานเป็นประธาน อันกับ
ᨲᩣ᩠ᨾᨬᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᨣᩨᨾᨶᩮᩣᨠᨾ᩠ᨾ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨬᩣ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨸᩕᨵᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨠᩢ᩠ᨸᨲᩣ᩠ᨾᩉᩯ᩠ᨦᩈᨶ᩠ᨴᨸᩴᨾᩦᨳᩭᩈᩮᩢ᩠ᨿ ᩉᩯ᩠ᨦᨵᨾ᩠ᨾᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᨣᩴᨸᩴᨾᩦᨳᩭᩈᩮᩢ᩠ᨿᨿᩢ᩠ᨦᨻ᩠ᨿ᩠ᨶ ᨣᩴᨸᩴᨾᩦᨳᩭᩈᩮᩢ᩠ᨿᨿᩢ᩠ᨦᩅᩥᨾᩪᨲ᩠ᨲᩥᨣᩨᩋᩢ᩠ᨶᨯᩲᨯᩱᨡᩮᩫᩣᨿᩢ᩠ᨦᩈᨾ᩠ᨾᩣ
ตามญานนั้นคือมโนกัมม์ อันมีญานเป็นประธาน อันกับตามแห่งสันทะบ่มีถอยเสีย แห่งธัมมเทสสนาก็บ่มีถอยเสียยังเพียน ก็บ่มีถอยเสียยังวิมูตฺติคืออันใดได้เข้ายังสัมมา-
ᨸᨭᩥ ᨣᩴᨸᩴᨾᩦᨠ᩠ᨴᩣᩴᨠᩣ᩠ᨶᨿᩮᩥ᩠ᨦᨯᩲᩃᩫ ᩁᩦ᩠ᨸᨸᩴᨻᩦᨧᩣᩁᨶᩣᨣᩴᨸᩴᨾᩦᨸᩮᩢ᩠ᨶ ᩉᩯ᩠ᨦᨧᩲᨣᩫ᩠ᨶᩉᩣᨸᩕᨿᩮᩣᨩᩡᨸᩴᨯᩱᨣᩴᨸᩴᨾᩦ ᩏᨸ᩠ᨸᩮᨠ᩠ᨡᩣᨸᩴᩁᩪᩃᩫ᩠ᩅᩃᩫ ᩀᩪᨾᩢ᩠ᨯᨩᩢ᩠ᨯᨣᩴᨸᩴᨾᩦᩃᩫ ᩋᩈᨵᩣᩁᨱᨬᩣ
ปฏิ ก็บ่มีกะทำการเยิงใดแล รีบบ่พีจารณาก็บ่มีเป็น แห่งใจคนหาประโยชะบ่ได้ก็บ่มี อุปเปกขาบ่รู้แล้วแล อยู่มัดชัดก็บ่มีแล อสธารณญา-
ᨱ ᪖ ᩋᩢ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩨᩋᩢ᩠ᨶᨯᩲᨧᩣ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶᩁᩣ᩠ᨿᩋᩢ᩠ᨶᨯᩦᩉᩯ᩠ᨦᨾᨶᩩᨯᩃᩫᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᩍᨶ᩠ᨴᩦᩃᩫᩋᨩ᩠ᨩᩣᩈᩱᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᩉᩲᩃᩫ᩠ᩅᨿᩢ᩠ᨦᨸᨭᩥᩉᩣ᩠ᨶᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨾᩉᩣ
ณ ๖ อันนั้น คืออันใดจา คือว่าอันรู้ยังอันร้ายอันดีแห่งมนุดแลสัดทั้งหลาย อันมีอินทีแลอัชชาไสผญาอันอันให้แล้วยังปฏิหานผญาอันประกอบด้วยมหา-
ᨠᩁᩩᨱᩣ ᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᨿᩮ᩠ᨿᨿᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩋᩁᩣᨾ᩠ᨾᨶᩉᩣᩋᩢ᩠ᨶᨧᩢᨸᩕ᩠ᨿᨸᨴ᩠ᨿᨸᨸᩴᨯᩱ ᨶᩮᨿ᩠ᨿᩡᨣᩅᩤᩉᩣᩋᩢ᩠ᨶᨧᩢᨠᩢ᩠ᨦᨸᩢ᩠ᨦᨸᩴᨯᩱᩃᩫ ᨻᩩᨴ᩠ᨵᩣᨶᩩᩔᨲᩥᨶᩢ᩠ᨶᨽᩣᩅᨶ᩠ᨶᩣᩃᩫ᩠ᩅᨴᩮᩫᩣᨶᩦᩉᩬᩙ ᪑ ᨠᩬᩁ
กรุณา ผญาอันรู้ยังเยยยธัมม์ทั้งมวน ผญาอันรู้ยังอรามฺมนหาอันจักเปรียบเทียบบ่ได้ เนยฺยะควาหาอันจักกั้งบังบ่ได้แล พุทธานุสสตินั้นภาวันนาแล้วเท่านี้ห้อง ๑ ก่อน
ᩃᩫ ᪫ ᨸᩢ᩠ᨯᨶᩦᨧᩢᨧᩣᨿᩢ᩠ᨦᩋᨲᩩᨾᩣᨿᩈᨻ᩠ᨻᩈᩴᩈᨲ᩠ᨲᩣᨶᩴ ᩈᩩᨠ᩠ᨡᨠᩣᨾᨲ᩠ᨲᩴᨸᩈᩥᨲ᩠ᩅᩣᨠᩣᨾᨲᩮᩣᨾᩮᨲ᩠ᨲᩴᩈᨻ᩠ᨻᩈᨲ᩠ᨲᩮᩈᩩᨽᩣᩅᨿᩮᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦ ᨽᩥᨠ᩠ᨡᩅᩮᨯᩕᩩᩣᨽᩥᨠ᩠ᨡᩩᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩁᩦᨿᩮᩣᨣᩣᩅᨧᩁᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨯᩲᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦ
แล ๚ บัดนี้จักจายังอตุมายสพฺพสํสตฺตานํ สุกฺขกามตฺตํปสิตฺวากามโตเมตฺตํสพฺพสตฺเตสุภาวเยดังนี้ ภิกฺขเวดูราภิกขุทั้งหลาย อันว่าโยคาวจรเจ้าตนใดอันมี
ᨸᨠ᩠ᨠᨲᩥᩋᩢ᩠ᨶᨠᩫ᩠ᩅᨲᩯᩈᩫ᩠ᨦᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᩃᩯ᩠ᩅ ᨿᩢ᩠ᨦᩈᨽᩣᩅᩋᩢ᩠ᨶᨾᩢ᩠ᨠᩈᩪᩢᨶᩲᨲᩫ᩠ᨶᨶᩲᨧᩲᩉᩯ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈᩪᩢᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᨾᩮᨲ᩠ᨲᩣᨣᩨᨸᩕ᩠ᨿᩣᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨾᩱᨲᩦᨻᩮᩨᩬᩉᩲᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩦᨲ᩠ᨲᨸᩕ
ปกฺกติอันกัวแต่สงสานนั้นแล้ว ยังสภาวะอันมักสูกในตนในใจแห่งสัดทั้งหลายอันประกอบด้วยสูกทั้งมวล เมตตาคือผญาอันประกอบด้วยไมตีเพื่อให้เป็นหีตฺตประ-
ᨿᩰ᩠ᨯᨠᩯᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩢ᩠ᨠᩉᩲᨸᩮᩢ᩠ᨶᨸᩕᨿᩮᩣᨩᩡᨠᩯᨲᩫ᩠ᨶᨠ᩠ᨯᩦᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨴᩣ᩠ᨶᨹᩪᩋᩨ᩠ᨶᨠ᩠ᨯᩦ ᩋᩢ᩠ᨶᨹᩪᩢᩅᩮᩢ᩠ᨶᩅᩱᨠᩯᨲᩫ᩠ᨶᨠ᩠ᨯᩦᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩃᩣᩴᨯᩢ᩠ᨷᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦᩃᩫ ᨣᩴᨾᩦᩃᩫ ᩈᩩᨠ᩠ᨡᨽᩣᩅᩮᨿ᩠ᨿᨶᩥᨴᩩᨠ᩠ᨡᩮᩣᩋᩉᩴᨶᩥᨧ᩠ᨧᩴ
โยดแก่สัดทั้งหลาย อันมักให้เป็นประโยชะแก่ตนก็ดีด้วยท่านผู้อื่นก็ดี อันผูกเวนไว้แก่ตนก็ดีด้วยลำดับดังนี้แล ก็มีแล สุกฺขภาเวยฺยนิทุกฺโขอหํนิจฺจํ
ᩋᩉᩴᩅᩥᨿᩉᩥᨲᩣᨧᨾᩮᩈᩩᨠ᩠ᨡᩮᩣᩉᩮᩣᨶ᩠ᨲᩩᨾᨩ᩠ᨩᨲ᩠ᨲᩣᨧ᩠ᨧᨳᩁᩮᩁᩥᨶᩮᩣ ᩋᩉᩴᩁᩥᨣᩩᨶᩥᩈᩩᨠ᩠ᨡᩥᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦ ᨴᩣ᩠ᨶᨴ᩠ᩃᩣᩢᨧᩫ᩠ᨦᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈᩪᩢᩋᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨶᩲᨧᩲᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᩣᩔᨧᩣᩢᨴᩪᩢᩋᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨶᩲᨲᩫ᩠ᨶᨶᩲᨧᩲᨽᩣᩅᨿ᩠ᨿᨻᩮᩥ᩠ᨦᨾᩦᨶᩥᨧ᩠ᨧᩴᨴᩪᩢ
อหํวิยหิตาจเมสุกฺโขโหนฺตุมชฺชตฺตาจฺจถเรริโน อหํริคุนิสุกฺขิดังนี้ ท่านทั้งหลายจงประกอบด้วยสูกอันเป็นในใจอันปราสฺสจากทูกอันเป็นในตนในใจภาวยฺยเพิงมีนิจฺจํทูก
ᩅᩦ᩠ᨯᩍᨶ᩠ᨴᩦᩋᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨴᩦᩈᩩᨯᩉᩯ᩠ᨦᨽᩣᩅᩋᩢ᩠ᨶ ᪑ ᨣᩴᩉᩣᩢᨸᩮᩢ᩠ᨶᩏᨸ᩠ᨷᨳᨻᩣ᩠ᨿᩉ᩠ᨶᩣᨶᩲᨲᩫ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨽᩥᨠ᩠ᨡᩅᩮᨯᩕᩩᩣᨽᩥᨠ᩠ᨡᩩᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩁᩦᨿᩮᩣᨣᩣᩅᨧᩁᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨾᩦᨸᨠ᩠ᨠᨲᩥ ᩋᩢ᩠ᨶᩀᩣ᩠ᨶᨠᩫ᩠ᩅᨿᩢ᩠ᨦᩅᨲ᩠ᨲᩈᩫ᩠ᨦᩈᩣ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨻ᩠ᨿ᩠ᨶᨸᩴᩉᩲ
วีดอินทีอันเป็นที่สุดแห่งภาวะอัน ๑ ก็หากเป็นอุปฺปถพายหน้าในตนนั้นแล ภิกฺขเวดูราภิกขุทั้งหลาย อันว่าโยคาวจรเจ้าตนมีปกฺกติอันอย้านกัวยังวัตตสงสานอันมีเพียนบ่ให้
ᩉ᩠ᨿᩴᨴᩴ ᨧᨲᩩᩁᩣᩁᨠ᩠ᨡᩣᨿᩢ᩠ᨦᩋᨶᩩᩔᨲᩥᨠᨾ᩠ᨾᨭ᩠ᨮᩣ᩠ᨶ ᪔ ᩋᩢ᩠ᨶᨽᩣᩅᩮᨲ᩠ᩅᩣ ᨣᩴᩉᩲᨧᩣᩴᩁᩮᩥ᩠ᨶᩃᩯ᩠ᩅᩉᩲᩁᩣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᨯᩩᨿᩢ᩠ᨦᩅᨲ᩠ᨳᩩᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᪘ ᩋᩢ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩮᩢ᩠ᨯᩋᩢ᩠ᨶᨧᩢᩈᩢ᩠ᨦᩅᩮᩢ᩠ᨠᩋᩢ᩠ᨶᨠ᩠ᩃᩣ᩠ᩅᨣᩨ᩠ᩅᩣᨸᩕ᩠ᨿᩣ
หย้อท้อ จตุรารักขายังอนุสสติกัมมัฏฐาน ๔ อันภาเวตฺวา ก็ให้จำเรินแล้วให้รำเพิงดุยังวัตถุทั้งหลาย ๘ อัน อันเป็นเหดอันจักสังเวกอันกล่าวคือว่าผญา
ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨠᩢ᩠ᨷᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩒᨲᨸ᩠ᨸᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᩃᨠ᩠ᨡᨱᩋᩢ᩠ᨶᨠᩫ᩠ᩅᨲᩯᨸᩣ᩠ᨸ ᨳᩢ᩠ᨯᨲᩯᩋᩢ᩠ᨶᩉᩲᩋᨶᩩᩔᨲᩥ ᨠᨾ᩠ᨾᨭ᩠ᨮᩣ᩠ᨶ ᪔ ᩋᩢ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨧᩣᩴᩁᩮᩥ᩠ᨶᩃᩫ᩠ᩅᨶᩢ᩠ᨶᨣᩴᨾᩦᩃᩫ ᪫ ᨩᩣᨲᩥᨩᩁᩣᨻ᩠ᨿᩣᨵᩥᨧᩩᨲ᩠ᨲᩥᩋ
อันเป็นกับด้วยโอตัปปะอันมีลักขณะอันกัวแต่บาป ถัดแต่อันให้อนุสสติ กัมมัฏฐาน ๔ อัน อันจำเรินแล้วนั้นก็มีแล ๚ ชาติชราพยาธิจุตฺติอ-
ᨸ᩠ᨸᩣᨿᩣᩋᨲᩥᨲᩋᨸ᩠ᨸᨲ᩠ᨲᨠᩅᨱ᩠ᨱᨴᩩᨠ᩠ᨡᩴᩍᨾᩣᨶᩦ ᩋᩉᩣᩁᨣᩅᩮᩈᩥᨴᩩᨠ᩠ᨡᩴᩈᩴᩅᩮᨣᩅᨲ᩠ᨳᩩᨶᩦ ᩍᨾᩣᨶᩦᩋᨲ᩠ᨳᨸᨲᩮᩣ ᩍᨾᩣᨶᩦᩅᨲ᩠ᨳᩩᩁᩦᩅᨲ᩠ᨳᩩᨴ᩠ᩃᩣᩢᨺᩪᨦᨶᩦ ᩋᨭ᩠ᨮᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦ ᪘ ᨧᩣᩴᨻ᩠ᩅᩢᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦ ᩈᩴ
ปฺปายาอติตอปฺปตฺตกวณฺณทุกฺขํอิมานี อหารคเวสิทุกฺขํสังเวควัตถุนี้ อิมานีอตฺถปโต อิมานีวตฺถุอันว่าวัตถุทั้งหลายฝูงนี้ อฏฺฐอันมี ๘ จำพวกดังนี้ สัง-
ᩅᩮᨣᩅᨲ᩠ᨳᩩᨣ᩠ᨾᩦᩃᩫ ᨴᩩᨠ᩠ᨡᩴᩁᩦᨴᩩᩢᨴ᩠ᩃᩣᩢᩋᩢ᩠ᨶᨠᩮᩥ᩠ᨯᨾᩣᨸᩮᩢ᩠ᨶᩉᩮᩢ᩠ᨯᩃᩫ ᨩᩁᩣᩁᩦᨣᩣᩴᨳᩮᩫᩣᨠᩯ ᨻ᩠ᨿᩣᨵᩥᩁᩦᨻᩕ᩠ᨿᩣ᩠ᨯ ᨧᩩᨲ᩠ᨲᩥᩁᩦᨣᩣᩴᨲᩣ᩠ᨿ ᩋᨠᨸ᩠ᨸᩣᨿᩣᩁᩦᨯᩱᨸᩱᨠᩮᩥ᩠ᨯᨶᩲᨶᩣᩁᩫ᩠ᨠ ᩋᨲᩥᨲᩋᨸ᩠ᨸᨲ᩠ᨲᨲᨱ᩠ᨱᨴᩩᨠ᩠ᨡᩴᩁᩦ
เวควัตถุก็มีแล ทุกฺขํอันว่าทุกทั้งหลายอันเกิดมาเป็นเหดแล ชราอันว่าคำเถ้าแก่ พยาธิอันว่าพระยาด จุตฺติอันว่าคำตาย อกปฺปายาอันว่าได้ไปเกิดในนารก อติตอปฺปตฺตตณฺณทุกฺขํอันว่า
ᨠᩬᩙᨴᩪᩢᨴ᩠ᩃᩣᩢᩋᩢ᩠ᨶᨻᩫ᩠ᨶᨸᩱᩃᩯ᩠ᩅᨶᩢ᩠ᨶ ᩅᨲ᩠ᨲᨴᩩᩢᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᨾᩣᨳᩮᩥ᩠ᨦᨴᩮᩥᩬᨠ᩠ᨯᩦ ᩍᨴᩣᨶᩥᩋᩣᩉᩣᩁᨣᩅᩮᩈᩥᨴᩩᨠ᩠ᨡᩴᩁᩦᨴᩩᩢᩋᩢ᩠ᨶᩈ᩠ᩅᩯᨦᩉᩣᨿᩢ᩠ᨦᩋᩣᩉᩣ᩠ᨶᨸᩢ᩠ᨯᨶᩦ ᨡᩮᩫᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢᨺᩩᨦᨶᩦ ᩋᨭ᩠ᨮ ᪘ ᩋᩢ᩠ᨶ
กองทูกทั้งหลายอันพ้นไปแล้วนั้น วัตตทุกอันบ่มาเถิงเทื่อก็ดี อิทานิอาหารคเวสิทุกฺขํอันว่าทุกอันแสวงหายังอาหานบัดนี้ เข้าทั้งหลายฝูงนี้ อฏฺฐ ๘ อัน
ᨩᩨ᩠ᩅᩣᩈᩢ᩠ᨦᩅᩮᨣᩅᨲ᩠ᨳᩩᨴ᩠ᩃᩣᩢᨣ᩠ᩅᩁᨠ᩠ᨿᨯᨾᩣᩢᨶᩢ᩠ᨠᩃᩫ ᨽᩥᨠ᩠ᨡᩅᩮᨯᩕᩩᩣᨽᩥᨠ᩠ᨡᩩᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨿᩮᩣᨣᩣᩅᨧᩁᨣᩨ᩠ᩅᩣᨣᩕᩉᩢ᩠ᨯᨶᩢ᩠ᨠᨸ᩠ᩅᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩢ᩠ᨠᩉᩲᨸᩮᩢ᩠ᨶᨸᩕᨿᩮᩣᨩ᩠ᨶᨠᩯᨲᩫ᩠ᨶᨠᩯᨴᩣ᩠ᨶ
ชื่อว่าสังเวควัตถุทั้งหลายควรเกียดมากนักแล ภิกฺขเวดูราภิกขุทั้งหลาย โยคาวจรคือว่าครหัดนักบวดทั้งหลาย อันมักให้เป็นประโยชน์แก่ตนแก่ท่าน
ᨣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨷᨿᩢ᩠ᨦᩅᩥᨴ᩠ᨵᩥᩋᩢ᩠ᨶᨶᩦ ᨣᩨ᩠ᩅᩣᨧᩣᩴᩁᩮᩥ᩠ᨶᨾᩮᨲ᩠ᨲᩣᨽᩣᩅᨶ᩠ᨶᩣᩈᩩᨯᩁ᩠ᨿ᩠ᨶᨠ᩠ᨯᩦ ᨾᩮᩥᩬᨡᩮᩫᩣᨾᩮᩥᩬᨣᩣᨸᩴᨡᩣ᩠ᨯᨯᩢ᩠ᨦᩋᩢ᩠ᨶ ᩁᩦᨣᩉᩢ᩠ᨯᩃᩫᨶᩢ᩠ᨠᨸ᩠ᩅᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᨺᩩᨦᨶᩢ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩣᨻ᩠ᩃᩁᩢᩅᩴᨣᩡ ᩋᩦ᩠ᨶᨴᩣᩉᩣᩢᨯᩱᨡᩣᩢᩈᩮᩢ᩠ᨿᩓ᩠ᩅ ᨣᩴᨧᩢ
ก็เพิงสับยังวิทธิอันนี้ คือว่าจำเรินเมตตาภาวันนาสุดเรียนก็ดี เมื่อเข้าเมื่อคาบ่ขาดดังอัน อันว่าคหัดแลนักบวดทั้งหลายฝูงนั้น อันมาพลันวอคะ อีนทาหากได้ขากเสียแล้ว ก็จัก
ᨣᩴᨧᩢᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩉᩣᩢᩈᩮᩥ᩠ᨠᩈᩮᩥ᩠ᨶᨿᩬᩙᨿᩴ ᩅᩤᨸᩕᩈᩮᩥ᩠ᨯᨠ᩠ᩅᩣ᩠ᨦᨡ᩠ᩅᩣ᩠ᨦᨾᩣᩢᨶᩢ᩠ᨠ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨠᨸ᩠ᩅᨯᩋᩢ᩠ᨶᨿᩦ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨠᩉᩣᩢᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣ ᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈᨻ᩠ᨻᨬᩪᨲᨬᩣ᩠ᨶᩉᩯ᩠ᨦᨲᩫ᩠ᨶᩉᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᩁᩦᨵᨾ᩠ᨾᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣ
ก็จักได้เถิงนีพพาน อันพระพุทธเจ้าหากเสิกเสินย้องยอ ว่าประเสิดกว้างขวางมากนัก พระพุทธเจ้าตนเป็นนักบวดอันยี่งนักหากเทสสนา ด้วยสัพพญูตญานแห่งตนหั้นแล อันว่าธัมมเทสสนา
ᩉᩯ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣ ᨣᩴᨦᩣ᩠ᨾᨶᩲᨴᩣᩴᨠᩣ᩠ᨦᨣᩴᨦᩣ᩠ᨾᨶᩲᨴᩦᩃᩫ ᩉᩮᩢ᩠ᨯᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩉᩣᩢᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᩅᩤᨿᨳᩣᨸᩥᩁᩪᨧᩥᩁᩴᨸᩩᨸ᩠ᨹᩅᨱ᩠ᨱᨣᨶ᩠ᨵᩴᩈᩩᨣᨶ᩠ᨵᨱᩴᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦᩃᩫ ᩁᩦᨯᩬᩢ
แห่งพระพุทธเจ้า ก็งามในท่ำกางก็งามในที่แล เหดพระพุทธเจ้าหากเทสสนาว่ายถาปิรูจิรํปุปฺผวณฺณคนฺธํสุคนฺธณํดังนี้แล อันว่าดอก-
ᨾᩱᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᩅᨱ᩠ᨱᩋᩢ᩠ᨶᨦᩣ᩠ᨾᨾᩦᨠᩥ᩠ᨶᨣᨶ᩠ᨴ ᩋᩢ᩠ᨶᩉᩬᨾᨾᩣᩢᨶᩢ᩠ᨠᩋᩢ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫᨾᩦᩈᩢ᩠ᨶᨯᩲ ᨵᨾ᩠ᨾᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᩉᩯ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩋᩢ᩠ᨶᨶᩲᨵᩣᩴᨠᩣ᩠ᨦᨶᩲᨴᩦᩃᩫ᩠ᩅ ᩋᩢ᩠ᨶᩉᩣᨴᩰ᩠ᨯᨸᩴᨯᩱᨣᩴᨸᩮᩢ᩠ᨶᨠᩢ᩠ᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨹ᩠ᩃᩡ
ไม้อันมีวัณณ์อันงามมีกิ่นคันทะ อันหอมมากนักอันนั้นแลมีสันใด ธัมมเทสสนาแห่งพระพุทธเจ้าอันในธ่ำกางในที่แล้ว อันหาโทดบ่ได้ก็เป็นกับด้วยผละ
ᩋᨶᩥᩈᩫ᩠ᨦᨾᩣᩢᨶᩢ᩠ᨠ ᩋᩣ᩠ᨯᨶᩣᩴᨡᩣ᩠ᨾᨧᩣᩢᩅᨭ᩠ᨭᩈᩫ᩠ᨦᩈᩣ᩠ᨶᩉᩲᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᨿᩢ᩠ᨦᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶ ᩋᩢ᩠ᨶᩉᩣᨩᩣᨲᩥᨩᩁᩣᨻ᩠ᨿᩣᨵᩥᨾᩁᨱᨸᩴᨯᩱᨯᩢ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨶ ᨣᩴᩉᩣᩢᨸᩮᩢ᩠ᨶᩈᩪᩢᩋᩢ᩠ᨶᩃᩣᩴᨿᩦ᩠ᨦᨠ᩠ᩅᩣᩈᩪᩢᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨣᩴᨻᩣᩴᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨯᩬᩢᨾᩱᩋᩢ᩠ᨶᨦᩣ᩠ᨾ
อนิสงมากนัก อาดนำข้ามจากวัฏฏสงสานให้ได้เถิงยังนีพพาน อันหาชาติชราพยาธิมรณบ่ได้ดังนั้น ก็หากเป็นสูกอันล้ำยี่งกว่าสูกทั้งหลาย ก็พ่ำเป็นดังดอกไม้อันงาม
ᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫᨾᩦᨠᩦ᩠ᨶᨣᨶ᩠ᨴ ᩋᩢ᩠ᨶᩉᩬᨾᩃᩫ ᨾᩩᨶᩥᩁᩦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨲᩫ᩠ᨶᨾᩦᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᩉᩣᩢᨯᩱᨲᩢ᩠ᨯᩈᩕᩁᩪᩃᩫ᩠ᩅᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈᨻ᩠ᨻᨬᩪᨲᨬᩣ᩠ᨶᩉᩯ᩠ᨦᨲᩫ᩠ᨶᨸᩴᩉ᩠ᨿᩴᨴᩴᩈᩢ᩠ᨠᩋᩢ᩠ᨶᨶᩲᨿᩮᨿ᩠ᨿᩡᨵᨾ᩠ᨾ ᩋᩢ᩠ᨶᩈᩮ᩠ᨾᩥᨯᩢ᩠ᨦᨶᩣᩴᩈ᩠ᨾᩪᨯᩋᩢ᩠ᨶᩃᩮᩥ᩠ᨠᨯᩱ ᪘ ᩉ᩠ᨾᩧᩁ ᪔ ᨻᩢ᩠ᨶ
นั้นแลมีกี่นคันทะ อันหอมแล มุนิอันว่าพระพุทธเจ้าตนมีธัมม์ทั้งมวน หากได้ตัดสระรู้แล้วด้วยสัพพญูตญานแห่งตนบ่หย้อท้อสักอันในเยยยะธัมม์ อันเสมอดังน้ำสมูดอันเลิกได้ ๘ หมื่น ๔ พัน
ᨿᩰ᩠ᨯᨩ᩠ᨶᩡ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᩉ᩠ᨾᩩᨣᩩᩁᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤ ᩈᩥᩃᩈᨾ᩠ᨾᩣᨵᩥᨸᨬᩣᩋᩢ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨸᨸᩴᨯᩱᩈᩮ᩠ᨾᩥᨯᩢ᩠ᨦᨶᩣᩴᨾᩉᩣᩈ᩠ᨾᩪᨯᨴᩔᩣᩁᨣᩬᩁᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈᩣᨾᩣᨲ᩠ᨳᨶᩬᨾᨩᩮᩥ᩠ᨦᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩅᨧᩥᨸᨶᩣ
โยดชนะ อันมีหมู่คุนมีต้นว่า สิลสัมมาธิปัญญาอันนับบ่ได้เสมอดังน้ำมหาสมูดทัสสารคอนทั้งมวนด้วยสามาตถ์น้อมเซิ่งพระพุทธเจ้าด้วยวจิปนา-
ᨾ ᩋᩢ᩠ᨶᩏᨯᩫ᩠ᨾᩃᩫᨶᩦᨿᩫ᩠ᨾᨠᩩᩈᩁᨧᩦ᩠ᨯᨠᩮᩥ᩠ᨯᨠᩢ᩠ᨷᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩋᩢ᩠ᨶᩁᨶᩧ᩠ᨠᨿᩢ᩠ᨦᨻᩩᨴ᩠ᨵᨣᩩᩁᨾᩦᨲᩫ᩠ᨶᩅᩤ ᩍᨲᩥᨸᩥᩈᩮᩣᨽᨣᩅᩤᩋᩁᩉᩴ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩮᩢ᩠ᨶᨠᩢ᩠ᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈᩮᩣᨾᨶᩔᩃᩫ ᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨬᩣ᩠ᨶᩉᩣᩢ
ม อันอุดมแลนียมกุสรจีดเกิดกับด้วยอันระนึกยังพุทธคุนมีต้นว่า อิติปิโสภควาอรหํ อันเป็นกับด้วยโสมนัสส์แล ประกอบด้วยญานหาก
ᨸᩢ᩠ᨦᨠᩮᩥ᩠ᨯᨶᩲᨽᩩᨾ᩠ᨾᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᪓᪑ ᩋᩢ᩠ᨶᨠᩖᩣ᩠ᩅᨣᩨ᩠ᩅᩣᨠᩣᨾ᩠ᨾᨽᩩᨾ᩠ᨾᩁᩩᨸ᩠ᨸᨽᩩᨾ᩠ᨾ ᪑᪖ ᩋᩁᩩᨸ᩠ᨸᨽᩩᨾ᩠ᨾ ᪔ ᩈᩩᨡᩥᨧᩫ᩠ᨦᨾᩦᩈᩩᩢᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈᩪᩢᨶᩲᨲᩫ᩠ᨶ ᨶᩲᨧᩲ ᩋᩅᩮᩁᩣᩉᩣᩅᩮᩢ᩠ᨶᨸᩴᨯᩱᨶᩢ᩠ᨶᨣᩴᨧᩫ᩠ᨦᨾᩦ ᨶᩲᨠᩣ᩠ᩃᩡᨴᩪᩢᨾᩮᩥᩬᨴᩮᩥ᩠ᨶ
บังเกิดในภุมม์ทั้งหลาย ๓๑ อันกล่าวคือว่ากามมภุมม์รุปปภุมม์ ๑๖ อรุปปภุมม์ ๔ สุขิจงมีสุกอันประกอบด้วยสูกในตน ในใจ อเวราหาเวนบ่ได้นั้นก็จงมี ในกาละทูกเมื่อเทิน
ᨠᩣᨿᩮᩣᩁᩦᨠᩣᨿ᩠ᨿᨶᩮᩥᩬᨲᩫ᩠ᨶᩉᩯ᩠ᨦᨣᩩᨶᩦ ᩋᩢ᩠ᨶᨠᩖᩣ᩠ᩅᨣᩨ᩠ᩅᩣ ᨠᩣᨾᩁᩩᨸ᩠ᨸᨠᩣ᩠ᨿ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᨸᩕᩉ᩠ᨾᩣ᩠ᨶᩅᩤᨶᩨ᩠ᨦ ᩋᩢ᩠ᨶᨲᩮᩢ᩠ᨾᨸᩱᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩈᩮᩣᨣᩰ᩠ᨠᨲᩣ᩠ᨦ ᪧ ᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᩣᩔᨧᩣᩢᨠᩦ᩠ᨶᩋᩢ᩠ᨶᩉᩬᨾ ᨩᩦᨥᨬᩮᩣ ᨣ᩠ᩅᩁ
กาโยอันว่ากายย์เนื้อตนแห่งคุนี้ อันกล่าวคือว่า กามรุปป์กาย อันมีประหมานวานืง อันเต็มไปด้วยโสโคกต่างๆ ทั้งมวน อันปราสสจากกี่นอันหอม ชีฆโญ ควน
ᨠᩦᩃ᩠ᨿᨯᨴᩩᨣᨶ᩠ᨴᩮᩣᩋᩢ᩠ᨶᨶᩮᩫᩣ.......ᨣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᨾᩦᨠᩯᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᩈᩩᩢᨠ᩠ᨯᩦᨳᩮᩥ᩠ᨦᨴᩩᩢᨠ᩠ᨯᩦᩋᩢ᩠ᨶᨡᩮᩢ᩠ᨶᨧᩲᨶᩢ᩠ᨶᨠ᩠ᨯᩦᨸᩣ᩠ᨶᨠᩣ᩠ᨦᨠ᩠ᨯᩦᩅᩩᨰᩣᨧᩋᩢ᩠ᨶᨳᩮᩫᩣᨠ᩠ᨯᩦ ᩋᩢ᩠ᨶᨾᩦᩁ᩠ᨷᩩᨠ᩠ᨯᩦᩉᩣᩁ᩠ᨸᩩᨸᩴᨯᩱ
กีเลียดทุคันโทอันเน่า.......ก็เพิงมีแก่สัดทั้งหลาย อันได้เถิงสุกก็ดี เถิงทุกก็ดี อันเข็นใจนั้นก็ดี ปานกางก็ดี วุฒาจอันเถ้าก็ดี อันมีรุปก็ดีหารุปบ่ได้
ᨠ᩠ᨯᩦ......ᨠ᩠ᨯᩦ.......ᨸᩴᨯᩱᨠ᩠ᨯᩦ.......ᨳᩮᩥ᩠ᨦᨾᩁᨱᩴᨩᩥ᩠ᨦᨣ᩠ᩅᩣ᩠ᨾᨲᩣ᩠ᨿᨵᩩᩅᩴᩑᩅᩴᨴ᩠ᨿᩙᨴᩯᨸᩴᩈᩫ᩠ᨦᨩᩱᩃᩫ ᩁᩦᨲᩫ᩠ᨶᨣᩪᨶᩦᨠ᩠ᨯᩦ ᪑
ก็ดี......ก็ดี.......บ่ได้ก็ดี.......เถิงมรณํซิ่งความตายธุวํเอวํเที่ยงแท้บ่สงไซแล อันว่าตนคูนี้ก็ดี ๑
ᨾᩦᩔᩣᨣᩴᨧᩢᨯᩱᨳᩮᩥ᩠ᨦᨾᩁ....... ᨵᩩᩅᩴ ᩑᩅ ᨴ᩠ᨿᩙᨴᩯᨩ᩠ᩃᩫ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩉᩣᩢᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣ ᨿᩢ᩠ᨦᨻᩩᨴ᩠ᨵᩣᨶᩩᩔᨲᩥᩃᩫ᩠ᩅ ᩉᩬᩙᨶᩨ᩠ᨦᨠᩬᩁᩃᩫ ᨴᩦᨶᩢ᩠ᨶᨧᩢᨧᩣᨴᩮᩔ᩠ᨶᩣᨸᩱᨻᩣ᩠ᨿᩉ᩠ᨶᩣᨣᩴᨧᩦ᩠ᨦᨠᩖᩣ᩠ᩅᩅᩤᨿᩮ
มีสสา ก็จักได้เถิงมร....... ธุวํ เอวะ เที่ยงแท้ชะแล พระพุทธเจ้าหากเทสสนา ยังพุทธานุสสติแล้ว ห้องนึงก่อนแล ที่นั้นจักจาเทสสนาไปพายหน้า ก็จีงกล่าวว่าเย-
ᨿ᩠ᨿᩣᨾᨣ᩠ᨣᩮᩅᨶᩥᨻ᩠ᨻᩣᨶᩮ ᩁᩦᨵᨾ᩠ᨾᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣ ᨣᩴᩉᩲᨹ᩠ᩃᩡᨶᩲᨧᨲ᩠ᨲᩩᩈᩢ᩠ᨯᨩᩮᩣᨸᩢ᩠ᨦᨠᩮᩥ᩠ᨯᨸᩮᩢ᩠ᨶᨴᩥᨭ᩠ᨮᨵᨾ᩠ᨾᩅᩮᨴᨶᩥᨿᨠᨾ᩠ᨾ ᨸᩕᩣᨠᩫ᩠ᨯᩉᩮᩢ᩠ᨶᨲᩴᩉ᩠ᨶᩣᨠᩯᨴᩤᨿ᩠ᨿᨠᩃᩫᩉᩣ ᩋᩢ᩠ᨶᨧᩢᨠᩢ᩠ᨦᨸᩢ᩠ᨦᨸᩴᨯᩱᨠᩯᨴᩣ
ยฺยามคฺเควนิพฺพาเน อันว่าธัมม์พระพุทธเจ้า ก็ให้ผละในจัตตุสัดโชบังเกิดเป็นทิฏฐธัมม์เวทนิยกัมม์ ปรากดเห็นต่อหน้าแก่ทายยกแลหา อันจักกั้งบังบ่ได้แก่ทา-
ᨿ᩠ᨿᨠᩡᨹᩪᨾᩦᨧᩲᩋᩢ᩠ᨶᨡᩣ᩠ᩅᨹᩬᩁ(ᨧᩣᩢ)ᩋᨠᩩᩔᩁᨵᨾ᩠ᨾᩃᩫ ᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲᩉᩯ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ᪗ᨧᩣᩴᨻ᩠ᩅᩢᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦ ᨸᩕᨠᩬᨸᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᩁᩣᨣᨲᨱ᩠ᩉᩣᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲᨯᩯ᩠ᨦᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨶᩣᩴᨣᩢ᩠ᨦᩉ᩠ᨾᩣᩢ
ยฺยกะผู้มีใจอันขาวผ่อน(จาก)อกุสสรธัมม์แล น้ำหัวใจแห่งสัดทั้งหลาย ๗ จำพวกดังนี้ ประกอบด้วยราคะตัณหาน้ำหัวใจแดงเป็นดังน้ำคั่งหมาก
ᨣᩯ᩠ᨸᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨿᨾᨠᩮᩣᨵᨣᨻ᩠ᨻᩮ...ᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲ.....ᩁᩢ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨿ........ᨠ᩠ᨯᩦᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲᨯᩯ᩠ᨦᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨩᩦ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨿᩣ᩠ᨾᩉᩘᩈᩣᨸᩕ᩠ᨿᩣᩅᩥᨲᩢ᩠ᨠᨠᩮᩥ᩠ᨯᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲ
แคบนั้นแล ยมโกธคพฺเพ...น้ำหัวใจ.....รั้นนั้นแล ย........ก็ดีน้ำหัวใจแดงเป็นดังชี้นนั้นแล ยามหงสาผญาวิตักเกิดน้ำหัวใจ
ᨡᩩᩁ ᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨶᩣᩴᨠᩯ᩠ᨦᨴᩫ᩠ᩅᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲ ᪔ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᨶᩦᨣᩴᨸᩮᩢ᩠ᨶᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲ ᩉᩯ᩠ᨦᨣᩫ᩠ᨶᨻᩣᩃᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᩉ᩠ᨿᩣ᩠ᨸᨩᩣᨠᩣᨣᨶᩬᩙᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᩁᩦᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲᩉᩯ᩠ᨦᨸᨱ᩠ᨯᩥᨲᨶᩢ᩠ᨠᨸᩕᩣ᩠ᨯᨧᩮᩫᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨲᩫ᩠ᨶᨾᩦᨸᩕ᩠ᨿᩣᨾᩦ ᪓ ᨧᩣᩴᨠ᩠ᩅᩢᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦᨿᩫ᩠ᨾ
ขุ่น เป็นดังน้ำแกงทั่วนั้นแล น้ำหัวใจ ๔ ประกานนี้ก็เป็นน้ำหัวใจ แห่งคนพาลทั้งหลาย อันหยาบช้าก้าคนองนั้นแล อันว่าน้ำหัวใจแห่งบัณฑิตนักปราดเจ้าทั้งหลาย ตนมีผญามี ๓ จำพวกดังนียม
ᨾᩮᩥᩬᩈᨴ᩠ᨵᩣᨠᩮᩥ᩠ᨯᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲᩉᩮᩖᩥᨦᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨯᩬᩢᨠᩢ᩠ᨶᨶᩥᨠᩣᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨾᩮᩥᩬᨸᩥᨲᩥᨿᩦ᩠ᨶᨯᩦ ᨩᩮᩥ᩠ᨦᨣᩩᩁᨠᩯ᩠ᩅ ᪓ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶ ᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲᩈᩲᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨶᩣᩴᨾᩢ᩠ᨶᨦᩣᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨾᩮᩥᩬᨸᨬᩣᨠᩮᩥ᩠ᨯᩁᩣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᨳᩮᩥ᩠ᨦᨣᩬᩙᨩᩢ᩠ᨶᨼᩣᩃᩫᨶᩦᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᨶᩢ᩠ᨶᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲᨧᩢᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦ
เมื่อสัทธาเกิดนำหัวใจเหลิงเป็นดังดอกกันนิกานั้นแล เมื่อปิติยีนดี เซิ่งคุนแก้ว ๓ ประกาน น้ำหัวใจใสเป็นดังน้ำมันงานั้นแล เมื่อปัญญาเกิดรำเพิงเถิงคองชั้นฟ้าแลนีพพานนั้นน้ำหัวใจจักเป็นดัง
ᨠᩯ᩠ᩅᩅᨩᩥᩁᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨸᩁᩥᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢᩁᩣᩴᨻᩮᩥ᩠ᨦᨳᩮᩥ᩠ᨦᨸᩣᩁᨾᩦᨯ᩠ᩅ᩠ᨿᨶᩣᩴᩉᩫ᩠ᩅᨧᩲ ᪓ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶᨶᩦ ᨾᩦᨹ᩠ᩃᩡᩋᩣᨶᩥᩈᩫ᩠ᨦᨠ᩠ᩅᩣ᩠ᨦᨡ᩠ᩅᩣ᩠ᨦᨾᩣᩢᨶᩢ᩠ᨠᩉᩣᩋᩢ᩠ᨶᨧᩢᨠᩢ᩠ᨦᨸᩢ᩠ᨦᨸᩴᨯᩱᩃᩫ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩁ᩠ᨿ
แก้ววชิรนั้นแล บริสัดทั้งหลายรำเพิงเถิงปารมีด้วยน้ำหัวใจ ๓ ประกานนี้ มีผละอานิสงกว้างขวางมากนักหาอันจักกั้งบังบ่ได้แล พระพุทธเจ้าเรีย-
ᨠᩅᩤᨿᩢ᩠ᨦᨸᩩᨣ᩠ᩃᨹᩪᨾᩦᩈᨴ᩠ᨵᩣᨡᩮᩫᩣᨸᩱᩃᩯ᩠ᩅ ᨣᩴᩉᩲᨹ᩠ᩃᩡᩋᩢ᩠ᨶᨿᩦ᩠ᨦᩃᩫᩈᨴ᩠ᨵᩣ ᪔ ᨸᩕᨠᩣ᩠ᨶ ᨣᩨᩋᩣᨣᨾᨶᩈᨴ᩠ᨵᩣᨾᩢ᩠ᨠᨳᩲᩉᩲᨴᩣ᩠ᨶ ᨴᩩᩢᨿᩣ᩠ᨾᨶᩢ᩠ᨶᨯᩱᩈᨴ᩠ᨵᩣᨻᩮᩣᨵᩥᩈᩢ᩠ᨯ
กว่ายังบุคลผู้มีสัทธาเข้าไปแล้ว ก็ให้ผละอันยี่งแลสัทธา ๔ ประกาน คืออาคมนสัทธามักใถ่ให้ทาน ทุกยามนั้นได้สัทธาโพธิสัด
ᨸᨱ᩠ᨯᩦᨲᨧᩮᩫᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢᩃᩫ ᩋᨵᩥᨣᨾᨶᩈᨴ᩠ᨵᩣᨯᩱᩈᨴ᩠ᨵᩣᩋᩢ᩠ᨶᨿᩦ᩠ᨦ ᨣᩨᩈᨴ᩠ᨵᩣᨡᩮᩁᩥᨿᨧᩮᩫᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨡᩮᩫᩣᨫᩣᨶᩈᨾ᩠ᨾᩣᨸᩢ᩠ᨯᨶᩢ᩠ᨶ ᨾᩦᩈᨴ᩠ᨵᩣᩋᩢ᩠ᨶᩉ᩠ᨾᩢᩁᨣ᩠ᩫ᩠ᨦᨿᩦ᩠ᨦᨶᩢ᩠ᨠ ᩒᨠᨸ᩠ᨸᨶᩈᨴ᩠ᨵᩣ ᨯᩱᩈᨴ᩠ᨵᩣ
ปัณฑีตเจ้าทั้งหลายแล อธิคมนสัทธาได้สัทธาอันยี่ง คือสัทธาเขริยเจ้าทั้งหลาย เข้าฌานสัมมาบัดนั้น มีสัทธาอันหมั้นคงยี่งนัก โอกัปปนสัทธา ได้สัทธา
ᨸᨱ᩠ᨯᩦᨲᨧᩮᩫᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩴᩁᩩᩉᩖᩣᨽᩣᨶᩲᨣᩩᩁᨠᩯ᩠ᩅᨴᩢ᩠ᨦ ᪓ ᨸᩮᩢ᩠ᨶᨯᩢ᩠ᨦᨻᩕ᩠ᨿᩣᨻᩦᨾ᩠ᨻᩦᩈᩣ᩠ᨶᨯᩱᩉᩮᩢ᩠ᨶᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᨣᩴᨿᩦ᩠ᨶᨯᩦᨶᩢᩃᩫ ᨸᩕᩔᩣᨴᩈᨴ᩠ᨵᩣᨯᩱᩈᨴ᩠ᨵᩣᨸᩁᩥᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᩉᩮᩖᩥᨾᩈᩲᨸᩮᩢ᩠ᨶ
ปัณฑีตเจ้าทั้งหลาย อันบ่รุหลาภาในคุนแก้วทั้ง ๓ เป็นดังพระยาพีมพีสานได้เห็นพระพุทธเจ้าก็ยีนดีนักแล ปรัสสาทสัทธาได้สัทธาบริสัดทั้งหลาย อันเหลิ้มใสเป็น
ᨠᩣ᩠ᩃᩡᨸᩣ᩠ᨦᨣᩣ᩠ᨸᨣᩴᩉᩲᩉᩣ᩠ᨿᩈᩮᩢ᩠ᨿᨶᩢ᩠ᨶᩃᩫ ᨯᩱᨩᩨ᩠ᩅᩣᨸᩔᩣᨴᩈᨴ᩠ᨵᩣᩃᩫ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩁ᩠ᨿᨠᨩᩨ᩠ᩅᩣ ᨸᩔᨴᩈᨴ᩠ᨵᩣ ᨡᩮᩫᩣᨸᩱᩃᩯ᩠ᩅᨣᩴᩉᩲᨹ᩠ᩃᩡᨶᩲᨴᩮᩅᩃᩰ᩠ᨠ
กาละบางคาบก็ให้หายเสียนั้นแล ได้ชื่อว่าปัสสาทสัทธาแล พระพุทธเจ้าเรียกชื่อว่า ปัสสทสัทธา เข้าไปแล้วก็ให้ผละในเทวโลก
ᨾᩮᩦ᩠ᨦᨣᩫ᩠ᨶᩃᩫ ᨻᩕᨻᩩᨴ᩠ᨵᨧᩮᩫᩣᩋᩢ᩠ᨶᨸᨱ᩠ᨯᩦᨲᨧᩮᩫᩣᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᨲᩫ᩠ᨶᨲᩔᩁᩪᨿᩢ᩠ᨦᩋᩁᩥᨿᨾᨣ᩠ᨣᨬᩣ᩠ᨶ ᨸᩴᩉᩖᩫᨦᨿᩢ᩠ᨦᩈᨧ᩠ᨨᨵᨾ᩠ᨾᨴᩢ᩠ᨦ ᪔ ᨯᩢ᩠ᨦᨶᩦ ᩈᨾᩩᨴ᩠ᨵᩮᨿ᩠ᨿᩈᨧ᩠ᨧᨶᩢ᩠ᨶ ᨯᩱᨲᨱ᩠ᩉᩣ
เมิงคนแล พระพุทธเจ้าอันปัณฑีตเจ้าทั้งหลาย ตนตัสสรู้ยังอริยมัคคญาน บ่หลงยังสัจฉธัมม์ทั้ง ๔ ดังนี้ สมุทฺเธยฺยสัจจ์นั้น ได้ตัณหา
ᩉᩯ᩠ᨦᩈᩢ᩠ᨯᨴ᩠ᩃᩣᩢ ᩋᩢ᩠ᨶᨸᩕᩣᨳ᩠ᨶᩣᩏᩫᩣᨿᩢ᩠ᨦᩃᩮᩣᨠᩥ᩠ᨿᩡ ᩈᨾ᩠ᨸᨲ᩠ᨲᩥᨴᩢ᩠ᨦᨾ᩠ᩅᩁᨴᩩᨠ᩠ᨡᩈᨧ᩠ᨧᨸᩮᩢ᩠ᨶᨹ᩠ᩃᩡ ᩉᩯ᩠ᨦᩈᨾᩩᨴ᩠ᨵᩮᨿ᩠ᨿᩡᩈᨧ᩠ᨧᩴᩉᩲᨴᩪᩢᨠᩯᨧᩲᩀᩪᩃᩫ ᨾᨣ᩠ᨣᩈᨧ᩠ᨧᨯᩱᨶᩢ᩠ᨶᨣᩴᨯᩱᨣᩬᩙᨸᨲ᩠ᨲᩥᨸᩢ᩠ᨯ ᩉᩲᨳᩮᩥ᩠ᨦᨶᩥᨻ᩠ᨻᩣ᩠ᨶᩃᩫ ᨶᩥᩃᩮᩣ
แห่งสัดทั้งหลาย อันปราถนาเอายังโลกิยะ สัมปัตติทั้งมวนทุกขสัจจ์เป็นผละ แห่งสมุทฺเธยฺยะสจฺจํให้ทูกแก่ใจอยู่แล มัคคสัจจ์ได้นั้นก็ได้คองปัตติบัด ให้เถิงนิพพานแล นิโล
ที่มา: Digital Library of Lao Manuscripts