ภาพยนตร์เรื่อง Troy เป็นการเล่าเรื่องสงครามกรุงทรอย (Trojan War) ที่เคยบอกเล่าผ่านมหากาพย์ อิเลียด (Iliad) และวรรณกรรมอื่นๆ ใหม่ในอีกมุมมองหนึ่ง ความเป็นหนังทำให้ต้องรวบรัดตัดความ ตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออก แล้วไปเลือกเน้นจุดเด่นของตัวละครเป็นอย่างๆ ไป โดยเรียบเรียงบทใหม่ให้เกิดความต่อเนื่อง ลองมาดูซิว่า Troy นั้น ได้ดัดแปลงไปจากอิเลียดที่โฮเมอร์แต่งไว้อย่างไรบ้าง จากนั้น แถมท้ายด้วยเกร็ดความรู้ที่อิเลียดเข้าไปมีบทบาท
ก่อนอื่น ขอเกริ่นเกี่ยวกับวรรณกรรมกรีกที่เกี่ยวข้องเสียหน่อย
อิเลียด (Iliad) และ โอดีสซีย์ (Odyssey) นับเป็นวรรณกรรมชิ้นเอก อันเป็นต้นแบบของวรรณกรรมยุโรปในยุคต่อๆ มา ทั้งสองเรื่องรจนาโดย โฮเมอร์ (Homer) มหากวีตาบอดชาวกรีก บอกเล่าเรื่องราวบางส่วนของสงครามกรุงทรอย โดยอิเลียดนั้น จับเอาช่วงท้ายของสงคราม ตั้งแต่เกิดข้อพิพาทระหว่าง อะกาเมมนอน (Agamamnon) กับ อะคิลลีส (Achilles) จนทำให้อะคิลลีสต้องถอนตัวจากสนามรบ ยังความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงแก่กองทัพกรีกในเวลาต่อมา จนกระทั่งอะคิลลีสได้สูญเสีย พาโทรคลัส (Patroclus) เพื่อนรักไป จึงได้หวนกลับสู่สนามรบ และสังหาร เฮกเตอร์ (Hector) เจ้าชายนักรบคนสำคัญของฝ่ายทรอยในที่สุด และเนื้อหาของอิเลียดก็จบลงเพียงแค่นี้ ถ้าไม่นับการเล่าอย่างรวบรัดถึงตอนจบของสงคราม ที่ฝ่ายพันธมิตรกรีกได้รับชัยชนะ
เรียกได้ว่า โฮเมอร์จงใจที่จะไม่เขียนเรื่องในลักษณะเล่าจากต้นจนจบ แต่จับเอากรณีพิพาทมาเขียนเป็นโศกนาฏกรรม (tragedy) โดยเฉพาะ ส่วนเรื่องส่วนอื่นๆ ของสงครามนั้น มีกวีท่านอื่นแต่งเพิ่มเติม เช่น เรื่องเกี่ยวกับ The Judgement of Paris และชะตากรรมของหญิงทรอยโดย ยูริพิดีส (Euripides), เรื่องการตายของอะแจ๊กซ์และเรื่องของฟิลอกทีทีสโดย โซโฟคลีส (Sophocles), เรื่องความพินาศของกรุงทรอยโดย เวอร์จิล (Virgil) กวีโรมัน เป็นต้น การที่จะติดตามอ่านเรื่องสงครามกรุงทรอยทั้งเรื่อง จึงหมายถึงการอ่านวรรณกรรมกรีกหลายชิ้นประกอบกัน และหนังสือเกี่ยวกับปกรณัมกรีก (Greek Mythology) แต่ละเล่ม ก็จะให้รายละเอียดไม่เท่ากัน ตามแต่ว่าใครจะรวบรวมวรรณกรรมมามากน้อยแค่ไหนนั่นเอง
โอดีสซีย์ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับสงครามกรุงทรอย เล่าเรื่องการผจญภัยของ โอดีสซูส (Odysseus) (หรือ ยูลิซีส (Ulysses) ในภาษาละติน) ขณะเดินทางกลับบ้านที่ อิธาคา (Ithaca) หลังเสร็จสิ้นสงคราม โดยได้เกิดพายุพัดกองเรือของกรีกแตกกระจัดพลัดพราย แต่ละกองถูกพัดไปคนละที่ และต้องหาทางกลับบ้านเมืองเอง แต่กองเรือของโอดีสซูสถูกพัดไปในถิ่นแปลกประหลาด ทำให้ต้องร่อนเร่อยู่ตามเกาะต่างๆ ในทะเลอยู่ถึงสิบปี พบสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ มากมายจนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่เนื่องจากโอดีสซีย์ไม่ใช่เหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกับหนังเรื่อง Troy จึงไม่ขอพูดถึงในรายละเอียดมากนัก
เมื่อกลายเป็นภาพยนตร์ การเล่าเรื่องย่อมแตกต่างจากหนังสือ โดยเฉพาะกับเรื่องยาวระดับมหากาพย์เช่นนี้ เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับผู้เขียนบท ที่จะคัดเอาส่วนที่เป็นแก่นของเนื้อเรื่องมาผูกร้อยใหม่ โดยไม่ทำให้เนื้อหาเสียไป ซึ่งสำหรับ Troy เรื่องนี้ ผู้เขียนเห็นว่าเก็บรายละเอียดฉากสำคัญได้ค่อนข้างดี ลองมาพิจารณาว่า เกิดการผ่าตัดเนื้อเรื่องอย่างไรบ้าง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านอิเลียดเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่สนใจ
เนื่องจากเนื้อหาหลักของอิเลียดเป็นความขัดแย้งระหว่าง อะกาเมมนอน (Agamemnon) กับ อะคิลลีส (Achilles) และผลที่ตามมา จึงเห็นได้ว่า ผู้สร้างหนังเรื่อง Troy ก็ได้เน้นบุคลิกของทั้งสองคนให้เข้มข้นกว่าปกติ โดยได้สร้างเรื่องปูทางมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ให้อะคิลลีสเป็นพวกอัจฉริยะหัวรุนแรง รักอิสระ ขาดระเบียบวินัย ในขณะที่ให้อะกาเมมนอนเป็นจอมทรราชย์บ้าอำนาจ ทั้งนี้ ก็คงเป็นการจินตนาการย้อนกลับจากเหตุการณ์วิวาทในนิยาย ที่ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงกันอย่างรุนแรง โดยวางพล็อตจากบุคลิกที่แสดงออก ซึ่งหากพิจารณาดูแล้ว ออกจะไม่ค่อยยุติธรรมที่จะเอาพฤติกรรมของคนขณะโกรธ มาเป็นตัวแทนของคนคนนั้น แต่การวางโครงเรื่องอย่างนี้ ก็ทำให้หนังเข้าใจง่ายลง
หากมองจากเหตุการณ์ในอิเลียด อะคิลลีสก็เป็นเหมือนเจ้าเมืองอื่นๆ ที่ถูกเกณฑ์ให้มาช่วยรบตามสัญญาที่เคยให้ไว้ในวันที่เจ้าหญิง เฮเลน (Helen) เลือกคู่ ว่าหากเกิดการแย่งชิงนางขึ้น คนที่เหลือจะยกทัพมาช่วย ไม่ได้มาเพราะกระหายจะได้ยึดสมบัติเมืองทรอย หรือเพื่อชิงนาง เหตุวิวาทที่เกิดขึ้น ก็มาจากการที่กองทัพกรีกไปตีชิงเสบียง แล้วเกิดไปพานาง ไครซีอิส (Chryseis) ลูกสาวของ ไครซีส (Chryses) พระประจำวิหารอะพอลโล มาเป็นนางรับใช้อะกาเมมนอน ไครซีสอยากได้ลูกสาวคืน จึงเอาทรัพย์สมบัติมาไถ่ อะกาเมมนอนก็ไม่ยอมคืนให้ ไครซีสจึงสวดอ้อนวอนอะพอลโลให้ช่วย อะพอลโลจึงยิงธนูลงมาเป็นห่าฝน ทำให้ทหารกรีกล้มตายทุกวัน ในที่สุด อะคิลลีสจึงเรียกประชุมหาสาเหตุ และขอมติว่าจะถอนทัพกลับหรือไม่ โหร คาลคัส (Calchas) รู้สาเหตุแต่เกรงอำนาจอะกาเมมนอน จึงได้ขอการปกป้องก่อนบอกความจริง อะคิลลีสสัญญาว่าจะปกป้องคาลคัสเอง แม้คนผิดจะเป็นอะกาเมมนอนก็ตาม
เมื่อคาลคัสบอกสาเหตุการล้มตายของทหารกรีก ว่าเป็นเพราะอะพอลโลพิโรธที่อะกาเมมนอนไม่ยอมคืนนางไครซีอิส อะกาเมมนอนได้ฟังก็โกรธ เพราะอะกาเมมนอนเองก็ลุ่มหลงนางอยู่เหมือนกัน จึงตอบว่าจะยอมเสียสละก็ได้ แต่เท่ากับว่า ส่วนแบ่งรางวัลแห่งความกล้าหาญในสนามรบของเขาก็จะลดลง เขาขอชดเชยโดยแบ่งจากของคนอื่น
อะคิลลีสตอบว่า มันไม่เหมาะที่จะไปขอส่วนแบ่งที่ให้ไปแล้วคืน แต่ถ้าเขายอมส่งนางคืนเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม ทุกคนที่นี่สัญญาว่าเขาจะได้ส่วนแบ่งมากที่สุดเมื่อยึดทรอยได้
แต่นั่นไม่ทำให้อะกาเมมนอนพอใจ และยืนยันที่จะขอชดเชย ทำให้อะคิลลีสไม่พอใจในความเห็นแก่ตัวของอะกาเมมนอน และต่อว่าว่า ที่ทุกคนมารบนี้ ก็ไม่ได้มีความขุ่นข้องหมองใจกับทรอยแม้แต่นิด แต่ก็ล้วนมาช่วย เมเนเลอัส (Menelaus) อนุชาของอะกาเมมนอน เพื่อชิงเฮเลนคืน แถมส่วนแบ่งในเสบียงที่ผ่านมา อะกาเมมนอนก็ได้มากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ยังจะมาคิดเล็กคิดน้อยอยู่อีก และว่า หากอะกาเมมนอนยังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไป เขาก็ไม่อยากจะช่วยรบอีกแล้ว
ด้วยความหยิ่ง อะกาเมมนอนตอบไปว่า กองทัพของเขามีคนเก่งมากมาย ขาดอะคิลลีสไปสักคนก็ไม่เป็นไร และสำทับอีกว่า จะยึดนาง ไบรซีอิส (Briseis) จากอะคิลลีสมาชดเชย เพื่อให้อะคิลลีสได้รู้ความรู้สึกของความสูญเสียเสียบ้าง และจะได้สำนึกเสียด้วยว่าในที่นี้ใครที่เป็นใหญ่
ถึงตรงนี้ อะคิลลีสถึงกับฟิวส์ขาด เตรียมชักดาบจะฟันอะกาเมมนอน แต่ในใจก็ยั้งคิดว่าจะทำให้เสียการ ก็พอดีกับที่เทพี อะธีนา (Athena) ลงมาฉุดรั้งอะคิลลีสไว้ ทำให้เขาสงบลงได้ ยอมให้อะกาเมมนอนยึดนางไบรซีอิส และเตรียมตัวถอนทัพกลับ
ความรู้สึกจากการอ่านอิเลียด จึงไม่ได้รู้สึกว่า อะคิลลีสเป็นพวกไร้วินัย แต่เป็นคนกล้าพูดกล้าทำ มีหลักการ ในขณะที่อะกาเมมนอน กลับควบคุมตัวเองได้แย่กว่า
นอกจากการเน้นบุคลิกตัวละครให้เป็นขาวกับดำตามแบบฉบับหนังแอคชันแล้ว ยังมีการตัดทอนรายละเอียดหยุมหยิมออกไปมากมาย เพื่อไม่ให้เรื่องซับซ้อนเกินไป ส่วนที่หายไปเลยคือเรื่องของเทพเจ้า งานนี้เล่าแต่เรื่องมนุษย์ล้วนๆ (แต่แค่นี้ก็จะอัดไม่ลงแล้ว กับเวลาแค่สองชั่วโมงครึ่ง) นอกจากนี้ ยังมีวีรบุรุษคนสำคัญที่หายไป คือ ไดโอมีดีส (Diomedes) ส่วน อะแจ๊กซ์ (Ajax) ถูกลดบทบาทลงไปนิด แต่ก็ยังมีบทอยู่ ถึงจะถูกเปลี่ยนให้ตายก่อนที่โฮเมอร์แต่งไว้ แต่เพื่อขับบทของ อะคิลลีส (Achilles) และ โอดีสซูส (Odysseus) ให้เด่น โดยไม่ทำให้เรื่องซับซ้อนเกินไป ก็ถือได้ว่าสมควรแล้ว
สำหรับเทพเจ้านั้น ในอิเลียดจะมีบทบาทมากพอๆ กับมนุษย์ โดยที่มนุษย์ออกจะกลายเป็นหมากเป็นเบี้ยที่เทพเจ้าใช้เดินเพื่อต่อสู้กันด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าชาวกรีกเป็นพวกงมงายในเทพเจ้า ตรงกันข้าม กรีกออกจะเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ เชื่อในประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมปกครองตนเอง รูปภาพของกรีกจะเน้นสรีระของมนุษย์ที่ถือว่าเป็นสิ่งสูงส่ง บทบาทของเทพเจ้าในปกรณัมกรีกนั้น เป็นเหมือนการแทนมโนทัศน์บางอย่างในรูปทั่วไป เช่น แทนการยับยั้งชั่งใจตัวเองของอะคิลลีสด้วยการฉุดรั้งของเทพีอะธีนา เป็นต้น สงครามกรุงทรอยครั้งนี้ อะโฟรไดตี (Aphrodite) เทพีแห่งความงาม อยู่ฝ่ายทรอย ก็ด้วยเป็นตัวแทนของเฮเลน ซึ่งความงาม มักจะชักพาเอา อารีส (Ares) เทพเจ้าแห่งสงคราม ผู้เป็นชู้รักไปด้วย แต่ฝ่ายทรอยก็ยังมี สุริยเทพ อะพอลโล (Apollo) สนับสนุน เพราะทรอยมีความแข็งแกร่งของกองทัพและค่ายคูประตูเมืองนั่นเอง ส่วนฝ่ายกรีกนั้น เทพเจ้าที่ปกป้องก็เป็นเทพเจ้ารักษาเมืองของกรีกอยู่แล้ว ทั้ง อะธีนา (Athena) เทพีแห่งนักรบและสรรพวิชา และสมุทรเทพ โพไซดอน (Poseidon) ผู้ปกป้องนักเดินเรืออย่างกรีก ส่วน ฮีรา (Hera) พระแม่ผู้เป็นใหญ่ ก็เป็นผู้พิทักษ์ชีวิตสมรส ก็แทนเหตุผลของการทำสงครามของฝ่ายกรีกนั่นเอง (ย่อหน้านี้ ผู้เขียนวิเคราะห์เอาเอง พึงระวังหากจะใช้เป็นแหล่งอ้างอิง)
ส่วนบทบาทของไดโอมีดีสนั้น เขาเป็นขุนพลคนสำคัญของฝ่ายกรีก ในระหว่างที่อะคิลลีสถอนตัวจากสนามรบ เขาเป็นกำลังสำคัญในการต่อตี สังหารนายทหารทรอยไปมากมาย ทั้งยังเป็นนักรบคนเดียวที่กล้าต่อกรกับเทพเจ้าที่เข้ามาช่วยฝ่ายทรอย โดยครั้งที่อารีส เทพเจ้าสงคราม มาช่วยฝ่ายทรอย ทำให้กรีกล่าถอย อะธีนาได้มาช่วยเป็นสารถีให้เขา ทำให้ไดโอมีดีสพุ่งหอกถูกอารีสบาดเจ็บหนีไป ฝ่ายกรีกจึงเริ่มเป็นต่อ และในวันเดียวกัน เขาก็ได้รบกับ อีนีอัส (Aeneas) นายทหารของฝ่ายทรอยจนจวนเจียนจะประหารอีนีอัสได้ แต่อะโฟรไดตีได้ลงมาอุ้มอีนีอัสหนีไป ไดโอมีดีสก็ไล่ตามไปฟันถูกแขนอะโฟรไดตีบาดเจ็บ เกือบจะชิงตัวอีนีอัสได้ หากไม่เป็นเพราะอะพอลโลลงมาช่วยอีกแรง นอกจากนี้ ในการทำการครั้งอื่นๆ มีหลายครั้งที่เขาอาสาไปกับโอดีสซูส และทำงานสำเร็จเสมอๆ
พูดถึงเรื่องของการเปลี่ยนเนื้อเรื่องของหนังบ้าง จุดเล็กๆ จุดหนึ่งคือ การไม่ได้เน้นว่าสงครามนี้กินเวลาถึงสิบปี ตั้งแต่ตั้งค่ายรบกันจนตีทรอยแตก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ที่น่าตกใจมากคือ ให้ เมเนเลอัส (Menelaus) ตายตั้งแต่ต้นเรื่อง เป็นอันว่า เทเลมาคัส (Telemachus) ในโอดีสซีย์ ขาดคนให้ถามข่าวพ่อไปเสียแล้ว เรื่องนี้นับว่าพลิกบทอย่างร้ายแรง อาจจะเพื่อเน้นความบ้าอำนาจของอะกาเมมนอน ว่าที่รบๆ เนี่ย ไม่ใช่เพื่อชิงเฮเลนคืนอีกต่อไป แถมยังย้ำโดยให้เฮกเตอร์เตือนเฮเลนตอนพยายามหนีอีกด้วย
ในอิเลียด ฉากต่อสู้ระหว่างปารีสกับเมเนเลอัสนี้ มีเทพเจ้าเข้ามาแทรกแซงถึงสององค์ คือ อะโฟรไดตี (Aphrodite) กับ อะธีนา (Athena) โดยในขณะที่ปารีสเพลี่ยงพล้ำนั้น อะโฟรไดตีมาอุ้มเอาปารีสหนีไป เป็นอันว่าฝ่ายทรอยแพ้ ต้องคืนเฮเลนให้ตามสัญญา แต่ ฮีรา (Hera) เห็นว่า สงครามไม่ควรยุติจนกว่าทรอยจะพินาศ จึงให้ อะธีนา (Athena) ลงมาดลใจให้ แพนดารัส (Pandarus) มือฉมังธนูฝ่ายทรอยยิงธนูใส่เมเนเลอัส โดยอะธีนาเองก็ไปปัดธนูไม่ให้ถูกที่สำคัญ เป็นอันว่า ฝ่ายทรอยไม่รักษาสัญญา สงครามจึงดำเนินต่อไป
จะเห็นว่า ฉากนี้ คนทำร้ายเมเนเลอัสไม่ใช่เฮกเตอร์เหมือนในหนัง แต่เพื่อความไม่ซับซ้อน หนังจึงให้เฮกเตอร์รับบทปกป้องน้องชายเสีย เรียกว่าเป็นทั้งอะโฟรไดตีและแพนดารัสในคราวเดียว แต่การแก้บทให้เมเนเลอัสถึงกับตายเลย ก็น่าตกใจมาก เพราะทำให้ความหมายของสงครามเปลี่ยนไปทันที
อีกเรื่องหนึ่งคือให้ ปารีส (Paris) รอดตาย ทั้งๆ ที่ต้องถูก ฟิลอกทีทีส (Philoctetes) ฆ่าในศึกครั้งหลังจากที่ยิงข้อเท้าอะคิลลีส (กล่าวคือ อะคิลลีสเอง ก็ไม่เคยเข้าไปในม้าไม้อย่างในหนัง เพราะหลังจากฆ่าเฮกเตอร์แล้ว ศึกครั้งต่อมาก็ถูกปารีสยิงธนูใส่ "Achilles' heel" ตาย ตามคำทำนายที่ว่า อะคิลลีสจะต้องตายตกตามเฮกเตอร์ไปในไม่ช้า และในศึกครั้งต่อมา ปารีสก็ถูกฟิลอกทีทีสยิงด้วยศรเฮอร์คิวลีสตาย ขณะที่ปารีสตายนั้น ยังไม่เกิดกลศึกม้าไม้ด้วยซ้ำไป)
ส่วน อะกาเมมนอน หนังก็ให้ถูกฆ่าตอนท้ายเรื่อง ทั้งๆ ที่ในอิเลียด เขามีชีวิตรอดกลับไปอย่างผู้ชนะ โดยสามารถพาเฮเลนกลับคืนไปอยู่กับเมเนเลอัสที่สปาร์ตาได้อีกด้วย แต่ความเป็นหนัง จะให้เป็นเช่นนั้นก็คงไม่สะใจคนดู กับความน่าหมั่นไส้ที่อะกาเมมนอนเป็นมาตั้งแต่ต้นเรื่อง
คนที่รับบทซับซ้อนที่สุดในหนังเรื่องนี้ คงต้องยกให้ ไบรซีอิส (Briseis) ผู้หญิงของอะคิลลีสที่เป็นต้นเหตุของความบาดหมางกับอะกาเมมนอน ในหนัง เธอรับบทถึงสามคนในหนึ่งเดียว หนึ่งคือ ไครซีอิส (Chryseis) บุตรสาวของพระประจำวิหารอะพอลโลที่ถูกพวกกรีกปล้นและชิงตัวมา สองคือ ไบรซีอิส (Briseis) หญิงที่อะคิลลีสได้เป็นส่วนแบ่งรางวัลจากการปล้นเสบียงจากเกาะข้างเคียงมาเสริมทัพ และถูกอะกาเมมนอนยึดตัวไป เพื่อชดเชยกับไครซีอิสที่ต้องส่งคืนไป สามคือ โพลิกซีนา (Polyxena) ธิดาของกษัตริย์ พริอัม (Priam) แห่งทรอย ซึ่งอะคิลลีสหลงรัก
ในหนัง มีคนที่มีบทบาทค่อนข้างมากแต่ไม่ค่อยถูกเรียกชื่ออยู่สองคน คนหนึ่งคือราชาผู้เฒ่า เนสเตอร์ (Nestor) แห่ง ไพลอส (Pylos) ที่คอยให้คำแนะนำแก่อะกาเมมนอน และอีกคนคือ แอนโดรมาคี (Andromache) ชายาของเฮกเตอร์นั่นเอง
อีกคนหนึ่งที่ชวนให้สงสัยต่อพอดู คือคนที่รับดาบแห่งทรอยจากปารีสนั้นเป็นใคร เขาคือ อีนีอัส (Aeneas) บุตรของ แอนไคซีส (Anchises) กับ อะโฟรไดตี (Aphrodite) เข้าร่วมกับฝ่ายทรอยเมื่อถูกอะคิลลีสรุกราน ซึ่งปรากฏว่า เขากลายเป็นผู้กล้าของฝ่ายทรอยที่เป็นรองก็แต่เฮกเตอร์เท่านั้น และยังเป็นผู้ที่เทพเจ้าโปรดปราน ในสนามรบ เขาเคยถูกไดโอมีดีสทำร้าย อะโฟรไดตีพยายามมาช่วย จนอะโฟรไดตีโดนฟันแขนบาดเจ็บ ร้อนถึงอะพอลโลต้องมาช่วยอีกแรง ดังที่กล่าวไปแล้วในเรื่องของไดโอมีดีส
เมื่อกรุงทรอยแตก อีนีอัสสามารถหลบหนีออกมาได้ พร้อมอุ้มพ่อกับลูกของตนออกมาด้วย จากนั้น ได้ออกเรือหาที่ปักหลักใหม่อยู่นานหลายปี ดังบรรยายในเรื่อง อีนีอิด (Aeneid) ที่แต่งโดยเวอร์จิล จนกระทั่งมาถึงอิตาลี และได้ตั้งเมืองขึ้น และต่อมาจึงเกิด โรมูลัส และ รีมัส (Romulus and Remus) ผู้ก่อตั้งกรุงโรมขึ้น ชาวโรมันจึงนับถืออีนีอัสเป็นบรรพบุรุษของตน
เรียกได้ว่า ถ้าจะมีตอนต่อของหนังเรื่องทรอยนี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องของอีนีอัสนี่แหละ เพราะมีการรับไม้ต่อในตอนท้ายเรื่องจนน่าสังเกต ส่วนเรื่องโอดีสซีย์นั้น ตัวละครสำคัญหลายคนได้ตายไปแล้วในหนังภาคนี้
ความคลาสสิกของมหากาพย์อย่างสงครามกรุงทรอย ทำให้เกิดศัพท์ภาษาอังกฤษจำนวนหนึ่ง
เทพเจ้าหรือวีรบุรุษกรีก-โรมัน มักจะมีชื่อประดับไว้บนท้องฟ้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อดาวเคราะห์ทั้งเก้าและดวงจันทร์บริวาร กลุ่มดาวต่างๆ เช่น กลุ่มดาวที่มีชื่อมาจากตำนานเพอร์ซูสผู้ฆ่าเมดูซา ได้แก่กลุ่มดาว เพอร์ซูส (Perseus), แอนโดรมีดา (Andromeda), ซีฟูส (Cepheus), แคสสิโอเปีย (Cassiopeia), เพกาซัส (Pegasus), เมดูซา (Medusa) ฯลฯ หรือดาวเคราะห์น้อยอย่าง ซีรีส (Ceres), พัลลัส (Pallas), อีรอส (Eros) ฯลฯ
สำหรับนักรบในสงครามกรุงทรอย ก็มีที่อยู่บนท้องฟ้าเหมือนกัน คือเป็นดาวเคราะห์น้อย ไม่ใช่ในแถบดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ระหว่างวงโคจรดาวอังคารกับพฤหัสบดี แต่เป็นดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ตรงจุดเลอเกรนจ์ (Lagrangian point) L4 และ L5 ของดาวพฤหัสบดี โดยกลุ่มที่อยู่ที่จุด L4 จะได้ชื่อนักรบฝ่ายกรีก (เรียกว่า Greek node) และที่จุด L5 จะได้ชื่อนักรบฝ่ายทรอย (เรียกว่า Trojan node) รวมเรียกว่า ดาวเคราะห์น้อยโทรจัน (Trojan Asteroids) โดยดวงแรกที่พบได้ชื่อว่า 588 Achilles อยู่ในจุด L4 แต่มีข้อยกเว้นเรื่องการตั้งชื่อสำหรับดวงแรกๆ ที่พบ เนื่องจากกฎการแบ่งฝ่ายยังไม่ตั้ง คือดวงแรกที่พบในจุด Trojan node ได้ชื่อว่า 617 Patroclus ซึ่งเป็นฝ่ายกรีก และอีกดวงคือ 624 Hektor อยู่ในบริเวณ Greek node
หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยโทรจัน และทฤษฎีของจุดเลอเกรนจ์ ก็มีแหล่งข้อมูลบนเว็บอยู่พอสมควร: